26 เม.ย. 2553

GM พื้นเร็ว



ยอดขายพุ่ง-ความเชื่อมั่นฟื้นคืน! ส่งจีเอ็ม จ่ายเงินกู้คืนครบก่อนกำหนด

·         ชำระเงินกู้คืน ทั้งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และองค์การส่งเสริมการส่งออกแคนาดา ครบถ้วน  
·         ชี้ยอดขายทะลุเป้า บวกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่งผลจีเอ็มจ่ายเงินกู้คืนครบก่อนกำหนด
·         พร้อมเดินหน้าต่อ เตรียมทุ่มเงินลงทุนกว่า 8 พันล้านบาท พัฒนาศูนย์การผลิตรถ 2 แห่งในสหรัฐฯ

แคนซัสซิตี้ รัฐแคนซัส บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส ได้ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ ได้ทำการชำระคืนเงินกู้ยืมงวดสุดท้ายจำนวน 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 186,296 ล้านบาท) แก่กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ และองค์การส่งเสริมการส่งออกแห่งประเทศแคนาดา ทั้งนี้เป็นการชำระคืนเงินกู้ยืมเต็มจำนวน ก่อนกำหนดการชำระคืนที่เคยกำหนดไว้




การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในการแถลงข่าวการลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 257 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 8,254 ล้านบาท) ในศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็มที่เมืองแฟร์แฟกซ์ มลรัฐแคนซัส และโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค ณ เมืองดีทรอยท์ ซึ่งการลงทุน ณ โรงงานแฟร์แฟกซ์นั้น จะทำให้จีเอ็ม สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นมาลิบู เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ส่วนโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค จะเป็นแหล่งการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เพื่อสนับสนุนการผลิต ณ โรงงานแฟร์แฟกซ์

จีเอ็มสามารถชำระเงินกู้คืนแก่ภาครัฐโดยเต็มจำนวน พร้อมทั้งดอกเบี้ยก่อนกำหนด เนื่องจากเราสามารถทำยอดขายได้อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะรถยนต์ในรุ่น เชฟโรเลต มาลีบู และรุ่น บูอิ ลาครอส เรากำลังก้าวย่างสู่การสร้างรถยนต์ รถบรรทุก และพาหนะอื่นๆที่ดีที่สุด และตลาดของเราก็เริ่มที่จะรับรู้การเคลื่อนไหวนี้ เราพบว่ายอดขายที่ตัวแทนจำหน่ายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เราจึงลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของฐานการผลิต เพื่อให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตและสร้างโอกาสในการทำงานใหม่ๆ มร. เอ็ด วิทเทเคอร์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจเนอรัล มอเตอร์ส กล่าว

รัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ได้ให้เงินกู้ยืมจำนวน 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 269,808 ล้านบาท) แก่จีเอ็ม และเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท การชำระคืนเงินกู้ยืมในครั้งนี้ ประกอบด้วยการชำระคืนเงินกู้จำนวน 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 150,964 ล้านบาท) แก่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และอีกจำนวน 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 35,332 ล้านบาท) แก่องค์การส่งเสริมการส่งออกแห่งประเทศแคนาดา

การที่เราสามารถชำระคืนเงินกู้ในครั้งนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า เรากำลังดำเนินธุรกิจไปได้ตามแผนงาน และเรากำลังเดินมาในทางที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งนี่เป็นก้าวย่างที่สำคัญที่ช่วยลดภาระการลงทุนของบรรดาผู้ถือหุ้นในบริษัท เราตระหนักดีว่ายังมีงานหนักรอเราอยู่ข้างหน้า และเราก็กำลังก้าวไปตามวิสัยทัศน์ของเราที่จะออกแบบ สร้าง และจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกต่อไป เรามีความยินดีที่สาธารณชนได้ให้ความสนับสนุนแก่จีเอ็ม และทำให้เราบรรลุเป้าหมายของเราได้ มร. เอ็ด วิทเทเคอร์ กล่าวเสริม

ยอดขายของรถยนต์ทั้งเชฟโรเลต บูอิค จีเอ็มซี และคาดิแลค เป็นตัวกระตุ้นให้จีเอ็มต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ยอดขายของรถยนต์ทั้งสี่แบรนด์ในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 36 เปอร์เซนต์ จากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยรถยนต์ในรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเปิดตัว เช่น เชฟโรเลต ควนอกซ์ คาเมโร และแทรฟเวิร์ส จีเอ็มซี ทั้งรุ่นเทอร์เรน และอคาเดีย รวมถึงรถยนต์คาดิแลค เอสอาร์เอกซ์ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก



สำหรับโรงงานที่แฟร์แฟกซ์ในปัจจุบัน สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นเชฟโรเลต มาลิบู และบูอิก ลาครอส ซึ่งเป็นสองรุ่นที่ขายดีที่สุดของบริษัท โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ จีเอ็มได้ทำการส่งมอบรถยนต์ในรุ่นมาลิบู แก่ลูกค้ากว่า 49,000 คัน และรถยนต์ในรุ่นลาครอส กว่า 14,000 คัน โดยยอดขายดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 58 เปอร์เซนต์จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ จีเอ็มจะทำการเพิ่มรอบการทำงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่อีก 1,050 ตำแหน่ง ทำให้ยอดการจ้างงานรวมทั้งหมดที่โรงงานเพิ่มขึ้นถึง 3,800 ตำแหน่ง

นอกจากโรงงานแฟร์แฟกซ์ที่จะเป็นแหล่งผลิตสำคัญของรถยนต์ในรุ่นมาลิบู โรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค ซึ่งปัจจุบันผลิตรถยนต์บูอิก ลูเซิร์น และคาดิแลค ดีทีเอส จะได้รับการพัฒนาให้สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นมาลิบูได้เช่นกัน อีกทั้งในอนาคตโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค จะสามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในรุ่นเชฟโรเลต โวลท์ โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา โรงงานได้ฉลองความสำเร็จในการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ ออกมาจากสายการผลิตจริงเพื่อทำการทดสอบสมรรถนะเป็นครั้งแรก

เงินลงทุนอันเกี่ยวข้องกับรถยนต์ในรุ่นมาลิบู จำนวน 136 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 4,368 ล้านบาท) ในโรงงานแฟร์แฟกซ์ และอีก 121 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3,886 ล้านบาท) ในโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค เป็นการลงทุนในส่วนของโครงสร้างโรงงาน สายการผลิต และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ

ในแง่ของการลงทุน จีเอ็มได้ประกาศแผนการใช้เงินกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (48,180 ล้านบาท) ในโรงงานกว่า 20 แห่ง ทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โดยการลงทุนเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 7,500 ตำแหน่ง และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นรับผิดชอบของจีเอ็มในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

*หมายเหตุ ค่าเงินบาท ณ วันที่ 21 เมษายน 2553 (1 เหรียญสหรัฐฯ = 32.12 บาท)

เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตอร์ส
เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2451 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์ จีเอ็ม มีพนักงาน 217,000 คนใน 140 ประเทศทุกในภูมิภาคทั่วโลก จีเอ็ม มีฐานการผลิตรถยนต์ และรถปิกอัพอยู่ใน 34 ประเทศ และจำหน่ายรถแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อย่าง บูอิค คาดิลแลค เชฟโรเลต เอฟเอดับเบิลยู จีเอ็มซี จีเอ็มแดวู โฮลเด้น โอเปิล วอกซ์ฮอลล์ และวูหลิง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจีเอ็ม อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน บราซิล เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิตาลี แผนกออนสตาร์ของจีเอ็ม นั่นถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมความปลอดภัย และการให้บริการข้อมูลในรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ดำเนินงานแทนเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม ใหม่ คลิกเข้าชมได้ที่ www.gm.

20 เม.ย. 2553

รับทันที! เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ซีเอ็นจ

รับทันที! เชฟโรเลต ออตร้า เอสเตท ซีเอ็นจี
สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าบัตรเครดิต ธนาคารไทยพาณิชย์


กรุงเทพฯ- ผู้โชคดีจากแคมเปญ “เลือกลุ้นรับของขวัญปีใหม่ จากบัตรเครดิตไทยพาณิชย์” เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มลูกค้า และถือเป็นของขวัญฉลองวันปีใหม่ไทยอีกด้วย

แคมเปญนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า ผ่านบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ ลุ้นรับของรางวัลได้ตามใจ มากมายถึง 74 รางวัล โดยรางวัลสูงสุดได้แก่ รถยนต์ยอดประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ซีเอ็นจี มูลค่ากว่าล้านบาท
 
รับมอบแล้ว - คุณสมภพ ปฏิภานธาดา (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบรถยนต์เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ซีเอ็นจี ยานยนต์พลังงานทางเลือกมูลค่ากว่าล้านบาทให้แก่คุณผกาพรรณ อึ้งสมรรถโกษา (ที่สองจากซ้าย) ผู้โชคดี ในโครงการ “เลือกลุ้นรับของขวัญปีใหม่ จากบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ พร้อมด้วยคุณรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ (ที่สองจากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และคุณสุภี พงษ์พานิช (ขวาสุด) ผู้อำนวยการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบ

เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.. 2451 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์ จีเอ็ม มีพนักงาน 217,000 คนใน 140 ประเทศทุกในภูมิภาคทั่วโลก จีเอ็ม มีฐานการผลิตรถยนต์ และรถปิกอัพอยู่ใน 34 ประเทศ และจำหน่ายรถแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อย่าง บูอิค คาดิลแลค เชฟโรเลต เอฟเอดับเบิลยู จีเอ็มซี จีเอ็มแดวู โฮลเด้น โอเปิล วอกซ์ฮอลล์ และวูหลิง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจีเอ็ม อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน บราซิล เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิตาลี แผนกออนสตาร์ของจีเอ็ม นั่นถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมความปลอดภัย และการให้บริการข้อมูลในรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ดำเนินงานแทนเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม ใหม่ คลิกเข้าชมได้ที่ www.gm.com

11 ก.พ. 2553

นาซ่าจับมือจีเอ็ม ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ไฮเทคสมองกล

วอชิงตัน – องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซ่า (NASA) และเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) เผยความร่วมมือครั้งใหม่โดยการผลักดันการพัฒนาหุ่นยนต์เจนเนอเรชั่นล่าสุด รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์อื่นๆเพื่อการประยุกต์ใช้งานสำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
ด้วยการใช้เทคโนโลยีชั้นนำอันทันสมัย อาทิ เอดจ์ คอนโทรล (Edge Control), เซ็นเซอร์ (Sensor) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการมองเห็น (Vision) ทีมวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่าและจีเอ็มได้ร่วมมือกันค้นคว้าวิจัยและพัฒนาโครงการนี้ตามข้อตกลง Space Act Agreement ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันของนาซ่า (NASA’s Johnson Space Center) เพื่อสร้างสรรค์หุ่นยนต์สมองกลเลียนแบบมนุษย์ที่สามารถทำงานควบคู่ไปกับพนักงานของทั้งสององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหมายรวมถึงการเอื้อประโยชน์ให้ทางจีเอ็มสามารถผลิตรถยนต์ที่มีความปลอดภัยยิ่งขึ้นในฐานการผลิตรถยนต์ที่ได้รับการยกระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้น รวมถึงการช่วยให้นักบินอวกาศของนาซ่าสามารถใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์รุ่นใหม่นี้ได้ในระหว่างการดำเนินภารกิจที่เสี่ยงภัยทั้งหลายในอวกาศ

ความคิดในการนำเอาหุ่นยนต์สมองกลเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีศักยภาพในการบังคับมือของมันในการทำงานที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนเหมือนกับคนมาใช้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใดในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หุ่นยนต์นักบินอวกาศ หรือที่รู้จักกันว่า “Robonaut” ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการท่องอวกาศ และได้รับการสร้างสรรค์โดยแผนกซอฟท์แวร์ โรบ็อทติคส์ และซิมมิวเลชั่นแห่งศูนย์อวกาศจอห์นสัน ด้วยความร่วมมือจากสถาบันโครงการวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูงด้านกลาโหม (Defense Advanced Research Project Agency) เมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมานาซ่าได้สั่งสมประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์เพื่อการใช้งานในอวกาศด้านต่างๆ ซึ่งมีศักยภาพสูงในการใช้ประโยชน์ได้ดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อนาซ่าได้มีโอกาสปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์อีกครั้ง

ภารกิจร่วมกันดังกล่าวเป็นการสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่จะเอื้อประโยชน์ให้จีเอ็มสามารถพัฒนายานพาหนะที่มีความปลอดภัยมากขึ้น และมีคุณภาพยอดเยี่ยม รวมถึงสามารถผลิตยานพาหนะเหล่านั้นในฐานการผลิตที่มีระบบความปลอดภัยที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กลยุทธ์ของจีเอ็มคือการพัฒนากระบวนการประกอบรถยนต์ให้มีการบูรณาการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์เข้ากับการใช้แรงงานคน นอกจากนี้ จีเอ็มกำลังเร่งมองหาวิถีทางในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาระบบความปลอดภัยของยานพาหนะที่มีสมรรถนะเหนือชั้นสู่โลกแห่งยานยนต์ชั้นนำ

“สำหรับจีเอ็มแล้ว การพัฒนาร่วมกันครั้งนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญในด้านความปลอดภัยของยานพาหนะคุณภาพ และโรงงานผลิต เมื่อเราพูดถึงยานยนต์เพื่ออนาคต ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น การควบคุมเทคโนโลยีการมองเห็น (Control Censor and Vision) สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการสร้างสรรค์ระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัยสำหรับยานยนต์ได้เป็นอย่างดี” มร. อลัน เทาบ์ รองประธานจีเอ็มโกลบอลฝ่ายวิจัยและพัฒนา แสดงความคิดเห็น “วิสัยทัศน์ของการร่วมมือกันครั้งนี้ คือการสำรวจหนทางใหม่ในการสร้างหุ่นยนต์ที่มีความก้าวล้ำทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการทำงานร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างมีความสอดคล้องกลมกลืน ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างสรรค์ยานพาหนะที่ดีกว่าและมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นในด้านความปลอดภัย ภายใต้สิ่งแวดล้อมการผลิตที่มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้นไปตามลำดับ”

“ความท้าทายของเราวันนี้คือการสร้างเครื่องจักรที่สามารถช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานและสำรวจอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มร. ไมค์ โค้ทส์ ผู้อำนวยการศูนย์อวกาศจอห์นสัน กล่าว “การที่หุ่นยนต์อย่าง Robonaut สามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ หรือไปปฏิบัติภารกิจในสถานที่ที่มีความเสี่ยงมากเกินไปสำหรับมนุษย์ได้ ถือเป็นการขยายขีดความสามารถของเราสำหรับการสร้างสรรค์ และการค้นพบสิ่งต่างๆ ต่อไป”

ด้วยความร่วมมือของทั้งสององค์กร ผนวกกับความช่วยเหลือจากทีมวิศวกรจากบริษัท Oceaneering International Inc. โครงการนี้จะสามารถดำเนินการพัฒนาและสร้างสรรค์หุ่นยนต์ Robonaut รุ่นต่อไปที่มีชื่อเรียกว่า Robonaut2 หรือ R2 โดยเป็นหุ่นยนต์ที่มีคุณสมบัติในการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่า มีสมองกลที่ประมวลผลได้ว่องไวกว่า อีกทั้งยังเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีในการประดิษฐ์ที่มีความทันสมัยกว่า หุ่นยนต์เจนเนอเรชั่นใหม่นี้สามารถใช้มือของมันในการทำงานต่างๆ ได้เหนือกว่าหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์รุ่นใดๆ ที่เคยมีมา นอกจากนี้มันยังสามารถทำงานร่วมกับคนได้ทั้งภายใต้สิ่งแวดล้อมต่างๆ บนโลกมนุษย์และในอวกาศ

ทั้งนาซ่าและจีเอ็มมีประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นและยาวนานในเรื่องของความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่างๆ มากมาย โดยเริ่มจากศตวรรษที่ 60 ด้วยการพัฒนาระบบนำร่องสำหรับการสำรวจอวกาศหลายครั้งด้วยยานอพอลโล ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานระบบนำร่องภายในสำหรับยานพาหนะในปัจจุบัน และทางจีเอ็มก็



ได้มีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนา Lunar Rover Vehicle ซึ่งเป็นยานพาหนะคันแรกที่นำไปใช้ในการสำรวจบนพื้นผิวดวงจันทร์ สำหรับความร่วมมือล่าสุดคือการตั้งเป้าหมายไปยังการพัฒนา และใช้หุ่นยนต์สมองกลเลียนแบบมนุษย์เพื่อขยายโอกาสในการสร้างความก้าวหน้าไปสู่แวดวงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ในอีกขั้น

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์การนาซ่า กรุณาเยี่ยมชมเวบไซต์: http://www.nasa.gov

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจนเนอรัล มอเตอร์ส กรุณาเยี่ยมชมเวบไซต์: http://media.gm.com

9 ก.พ. 2553

Zaino ขานรับปีขาล ล้างรถวันนี้โชคดี เฮง เฮง เฮง

กรุงเทพฯ—บริษัท พลัสโฟร์ โปรเซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสีรถยนต์ Zaino อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยและเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ Professional Car Detailing Complex ให้คำแนะนำทุกด้านเรื่องการดูแลรักษาสีรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Zaino ทั่วกรุงเทพฯ ชวนคนรักรถล้างรถรับปีเสือทองด้วยข้อเสนอสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 700 บาท!


ขานรับปีเสือทองด้วยความแรงไม่หยุดยั้ง เมื่อ Zaino ผลิตภัณฑ์ชั้นเซียนมอบข้อเสนอรับปีใหม่ด้วยโปรแกรมล้างรถเคลือบสีด้วยน้ำยา Zaino เริ่มต้นเพียง700 บาท ล้างสีดูดฝุ่นเริ่มต้นเพียง150บาท โดยหากนำผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสีรถยนต์ของ Zaino ที่ซื้อจากบริษัท พลัสโฟร์ โปรเซอร์วิส มารับบริการเองที่ร้านจะเสียค่าบริการลงน้ำยาเบื้องต้นเพียง 100 บาท พร้อมด้วยซื้อผลิตภัณฑ์ Zaino ทุกตัวรับบริการเสริมพิเศษจากร้านค้าของ Zaino ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ฟรีค่าบริการล้างรถ หรือ ฟรีค่าบริการลงน้ำยา หรือฟรีค่าบริการลงดินน้ำมันขจัดคราบสกปรกบนสีรถก่อนการเคลือบสี ล้างรถด้วยโปรโมชั่นออกตัวแรงรับต้นปีได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
 ผลิตภัณฑ์ Zaino ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท พลัสโฟร์ โปรเซอร์วิสจะมีสติกเกอร์ของบริษัทฯ ติดกำกับอยู่ด้านหลัง ลูกค้าทุกท่านที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Zaino จะได้รับการบริการอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใหความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ การแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกวิธีหากลูกค้าต้องการล้างและขัดเคลือบเองที่บ้าน หรือแม้กระทั่งหากลูกค้านำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการคาร์แคร์ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Zaino ซึ่งมีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ก็เสียค่าบริการในการลงน้ำยาเริ่มต้นเพียง 100 บาทเท่านั้น นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังรับประกันคุณภาพของน้ำยารวมไปถึงการหมดอายุของน้ำยาด้วยการเปลี่ยนให้ใหม่ทันทีอีกด้วย ซึ่งต่างจากลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์มาจากที่อื่นจะต้องเสียค่าบริการเริ่มต้นรายการละถึง 200 บาท
ลูกค้าที่สนใจประสิทธิภาพความเงางาม สามารถนำรถยนต์ที่ท่านรักเข้ารับบริการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Zaino ได้ที่ศูนย์บริการ Professional Car Detailing Complex ของ Zaino ที่ได้รับการแต่งตั้งทั่วกรุงเทพฯ ที่ได้มาตรฐานเดียวกันทั้งในเรื่องของราคาและการบริการ พร้อมทั้งเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Zaino ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกกฏหมาย รับบริการล้าง และขัดเคลือบสี รวมทั้งรับบริการอื่นๆ ได้ในคราวเดียวอย่างสะดวกสบาย
  • ร้าน Autogeek .เพชรบุรีตัดใหม่ โทร 081-853-6166
  • ร้าน Clean Corner ซ.ลาดพร้าว 48 โทร 086-320-2110
  • ร้าน Ideas Wash & Wax ถ.พระราม5 โทร 081-00000-34
  • ร้าน Wax Clinic ถ.สุขาภิบาล1 โทร 081-925-1010
  • ร้าน Wash At Me ถ.พระราม3 โทร 084-424-3888
  • ร้าน Wash Me Please แยกแคราย โทร 081-467-1341
  • ร้าน Wash’s Happen! ถ.พระราม9 โทร 081-555-4725
  • ร้าน @ Wash Station 1 ถ.กาญจนาภิเษก โทร 089-708-0800
  • ร้าน @ Wash Station 2 .กระทุ่มแบน โทร 089-638-6999
  • ร้าน Prodrive Shop ถ.รัชดาภิเษก โทร 089-996-9900
  • ร้าน BRC หมู่บ้านวินด์มิลล์ ถ.บางนาตราด โทร 081-616-4523
  • ร้าน WasHeaven ถ.ราชพฤกษ์ โทร 085-562-3344

เมอร์เซเดส-เบนซ์เอส คลาสย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถหรู



กรุงเทพฯ เมอร์เซเดส-เบนซ์ส่งสุดยอดแห่งยนตรกรรมระดับแฟล็กชิพ “the new generation S-Class” สู่ตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถหรู
 ยนตรกรรม S-Class  โฉมปัจจุบัน รหัสตัวถัง W 221 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2005  ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 270,000 คัน ทำให้ S-Class  เป็นรถหรูที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งต่อยอดความสำเร็จมาจากรุ่น 220 ในปี 1951 ในปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์นำเสนอ the new generation S-Class  ให้เป็นต้นแบบแห่งสุดยอดยนตรกรรมหรูระดับพรีเมี่ยมที่โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะ เทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่เป็นเลิศ  นวัตกรรมอันล้ำสมัยที่ให้ความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร และยังเป็นยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
The new generation S-Class มาพร้อมกับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ซึ่งมีทั้งเบนซินและดีเซลที่นอกจากจะเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่แล้ว ยังมีประสทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยม  นอกจากนี้เจนเนอเรชั่นที่ 9 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class ยังได้บุกเบิกนวัตกรรมและเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเซ็นเซอร์ที่รายล้อมตัวรถ รวมทั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์และ Intelligent partner ระบบช่วยเหลือในการขับขี่แบบอัตโนมัติต่างๆอีกมากมาย ที่จะปกป้องผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง ทั้งยังสามารถเพลิดเพลินไปกับอุปกรณ์ความบันเทิงที่สร้างสรรค์มาเป็นพิเศษ the new generation S-Class จึงเป็นผู้นำของยนตรกรรมหรู ในทุกๆด้าน 
เครื่องยนต์ทรงพลังทั้งเบนซินและดีเซล
ในปี 2010 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์นำเสนอ “the new generation S-Class” พร้อมกันถึง 3 รุ่น ทั้งที่เป็นเครื่องยนต์แบบเบนซิน แบบวี 6 และ วี 8 และดีเซลคอมมอนเรล วี 6 ได้แก่ S 300 L, S 500 L และ S 350 CDI BlueEFFICIENCY L โดยเฉพาะรุ่นดีเซลเป็นแบบ BlueEFFICIENCY ที่ได้รับการปรับโครงสร้างของรถเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิค หรือให้มีความลู่ลมมากที่สุด เพื่อให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ทำงานพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC รถรุ่นนี้สามารถลดปริมาณคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ถึง 7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างไรก็ดี การปรับโครงสร้างของรถเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคครั้งนี้  ทำให้ลดเสียงดังจากการปะทะของลมมากขึ้น
 S 300 L มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V6 ปริมาตรกระบอกสูบ 2,997 ซีซี พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ให้แรงม้าสูงสุด 161  กิโลวัตต์ / 219 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 2,500 – 5,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 8.2 วินาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 10.8กม./ลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 219 กรัม/กม.
 S 350 CDI BlueEFFICIENCY L มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V6 ปริมาตรกระบอกสูบ 2,987 ซีซี พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ให้แรงม้าสูงสุด 155  กิโลวัตต์ / 211 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตรที่ 1,600–2,400 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7.8 วินาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 12.9 กม./ลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 202 กรัม/กม.
S 500 L มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V8 ปริมาตรกระบอกสูบ 5,462 ซีซี พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ให้แรงม้าสูงสุด 285 กิโลวัตต์ / 388 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตรที่ 2,800 – 4,800 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5.4 วินาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 8.8 – 9.0 กม./ลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 260 กรัม/กม.
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในยนตรกรรม S-Class
หนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เพื่อช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและได้เริ่มติดตั้งทั้งในยนตรกรรม E- และ S-Class ซึ่งระบบนี้จะทำงานเหมือนเป็นเพื่อนผู้ร่วมทางให้ผู้ขับขี่แบบชาญฉลาด  รถเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงสามารถทำหน้าที่ปกป้อง คือมอง เห็นและมีความ รู้สึกในการตอบรับจากอันตรายหรืออุบัติเหตุต่างๆที่อาจเกิดขึ้นหรือให้เราได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

“เช่นเดียวกับการค้นพบนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น ABS, ESP®, Brake Assist และ PRE-SAFE®, เทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่นี้ได้พัฒนาให้ทำงานสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง รวมถึงผลที่ตามมาหลังจากการเกิดอุบัติเหตุนั้นๆ” ศาสตราจารย์ ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าว “ระบบต่างๆ ที่วิศวกรของเราคิดค้นขึ้นมา เกิดจากความมุ่งมั่นที่จะป้องกันอุบัติเหตุในรูปแบบต่างมิให้เกิดขึ้น และไม่เพียงแต่จะปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่อยู่ในรถยนต์ S-Class  เท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่นๆ อีกด้วย” ศ. ดร. เพาฟเลอร์ กล่าวเสริม
The new generation S-Class ยังประกอบไปด้วยนวัตกรรมอันล้ำสมัยเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อันประกอบด้วย ATTENTION ASSIST ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ นวัตกกรรมใหม่ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ทางไกล ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว 80 – 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเซ็นเซอร์ภายในรถจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ลักษณะการขับขี่ต่างๆ พร้อมทั้งส่งสัญญาณเสียงและภาพเตือนทันที Adaptive Highbeam Assist ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น Night View Assist Plus ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน ประกอบด้วยเสงอินฟาเรดและกล้องขนาดเล็กเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นและลดอุปสรรคสำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืน 
นอกจากนี้ the new generation S-Class ยังประกอบด้วย COMAND APS ระบบมัลติมีเดียซึ่งควบคุมการทำงาน ให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงทุกฟังค์ชั่นอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ วิทยุ และเครื่องเล่นดีวีดีที่รองรับไฟล็เพลงแบบ MP3 หรือเลือกสั่งการทำงานโดยใช้เสียง ผ่านระบบ LINGUATRONIC ทั้งยังสามารถบันทึกเพลงโปรดในหน่วยความจำ ได้มากถึง 2,500 เพลง (MUSIC REGISTRATION) และจอภาพแสดงผลแบบ SPLITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้จอแสดงผลเดียว เป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ ในการนำเทคโนโลยีชั้นสูงนี้มาใช้ ซึ่งในขณะที่ผู้ขับขี่อ่านแผนที่จากระบบ NAVIGATION ผู้โดยสารด้านหน้าก็สามารถชมภาพยนตร์จากเครื่องเล่นดีวีดีได้ นับเป็นเทคโนโลยีที่หรูหราสมฐานะในระดับ S-Class อย่างแท้จริง

The new generation S-Class มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มความโดดเด่นภูมิฐานและหรูหราด้วยโคมไฟคู่หน้าโฉมใหม่ไฟไบซีนอนเพิ่มหลอดไฟแบบ LED ที่ด้านล่าง ทำให้ส่องสว่างกว่าเดิมถึง 10 เท่า และทำงานควบคู่กับระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS – Intelligent Light System) กับระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย  กันชนหน้าและหลังแบบใหม่มาพร้อมกับหลอด LED และไฟท้ายที่เพิ่มมุมมองแบบสปอร์ตขึ้นด้วยเทคโนโลยี LED ถึง 52 ดวงในรูป “C คู่ที่ส่องสว่างไกล ให้รถที่ตามมาเห็นสัญญาณไฟได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในยามค่ำคืน
The new generation S-Class สนนราคาที่

S 300 L
 7,799,000 บาท
S 350 CDI BlueEFFICIENCY L
7,999,000 บาท
S 500 L
10,999,000 บาท


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ the new generation S-Class ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์         เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ