30 พ.ค. 2551

GM + เวอร์จินแอตแลนติค ใช้ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล รถไฮโดรเจน ใน Project Driveway



จีเอ็ม จับมือ เวอร์จินแอตแลนติค ใช้ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล
รถพลังไฮโดรเจน มลพิษ 0% รับผู้โดยสารวีไอพีของสายการบินฯ


นิวยอร์ค – สายการบินเวอร์จินแอตแลนติค เตรียมใช้รถ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ไฮโดรเจน ฟิวเซล 3 คัน ไว้บริการลูกค้า VIP ของสายการบิน ที่สนามบินลอส แองเจลิส (LAX) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “Project Driveway” โครงการทดลองใช้งานรถฟิวเซลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้งานรถฟิวเซลกว่า 100 คัน ทั่วโลก

เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พร้อมส่งรถยนต์ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ไฮโดรเจน ฟิวเซล (Chevrolet Equinox Hydrogen Fuel Cell) รถยนต์เซลเชื้อเพลิงพลังงานไฟฟ้า ที่ปลอดน้ำมัน ปลอดมลพิษ 100% จำนวน 3 คัน เพื่อให้สายการบิน เวอร์จิน แอตแลนติค ใช้เป็นรถ รับ-ส่ง ลูกค้าวีไอพี ที่สนามบินนานาชาติ ลอส แองเจลีส ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัท โดยมี ดร.ลาร์รี่ เบิร์นส์ (Dr. Larry Burns) รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส พร้อมด้วย เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน ประธานบริษัท เวอร์จิน แอตแลนติค แอร์เวย์ จำกัด ร่วมกันเป็นประธานในงานแนะนำโครงการฯ ในมลรัฐนิวยอร์ค

รถยนต์ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล 3 คันนี้ ถูกนำมาทดลองใช้งานจริงบนถนน ซึ่งเป็นก้าวแรกของการริเริ่มโครงการ “Project Driveway” ซึ่งเป็นโครงการทดลองการใช้งานจริงของรถยนต์ฟิวเซล โดยทางบริษัทเวอร์จิน จะได้ทดสอบการใช้งาน เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล ในชีวิตประจำวัน โดยมีกำหนดรับลูกค้า VIP ที่สนามบินแห่งนี้ เป็นเวลายาวนานถึง 30 เดือน
“Project Driveway” เป็นโครงการทดลองการใช้งานจริงสำหรับรถยนต์ฟิวเซล ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไฮโดรเจน ฟิวเซล ที่ปลอดมลพิษแบบ 100% เป็นจำนวนกว่า 100 คัน ไปบนถนนสายสำคัญๆ ของตลาดในสหรัฐอเมริกา และตลาดโลก

เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจาก การทำปฏิกิริยาเคมีระหว่าง ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ผ่านชั้นของแผ่นเยื่อนำไฟฟ้าที่เรียกว่า Polymer Electrolyte ที่บรรจุซ้อนกันเป็นชั้นๆ ภายในเซลเชื้อเพลิง (ฟิวเซล) ซึ่งไฮโดรเจนเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมด สะอาด และยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เพราะผลที่ได้จากปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจนและออกซิเจนที่ออกมาจากปลายท่อไอเสียจะเป็นเพียงหยดน้ำบริสุทธิ์ ทำให้ อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล เป็นรถที่ปลอดการใช้น้ำมัน ไร้มลพิษ โดยสิ้นเชิง การจับมือกันของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ในสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ยังช่วยสร้างจิตสำนึกสาธารณะชนต่อเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มีการพัฒนาต่อเนื่องรุดหน้าต่อไป
“ผมต้องขอบคุณ เซอร์ ริชาร์ด ในโอกาสที่ให้จีเอ็มเข้ามาเป็นทีมเดียวกันกับเวอร์จิน” ดร.ลาร์รี่ เบิร์นส์ เกริ่นก่อนกล่าวต่อไปอีกว่า “จากประวัติด้านสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่น และการให้ความไว้วางใจต่อสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆ ของเซอร์ ริชาร์ด จีเอ็มจึงเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการร่วมลงนามครั้งสำคัญสำหรับเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้าและฟิวเซล และเป็นช่องทางใหม่ที่สำคัญสำหรับการแนะนำรถยนต์สายพันธุ์ใหม่”

ส่วนทางด้าน เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน กล่าวว่า “ภารกิจของเราที่ต้องเป็นสายการบินที่มั่นคงนั้น มีความชัดเจนทั้งในการให้บริการภาคพื้นดินและทางอากาศ ซึ่งการได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง เจนเนอรัล มอเตอร์ส แสดงให้เห็นว่า เราเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรรมการบิน เมื่อเราสามารถลดปริมาณมลพิษในทุกขั้นตอนของการเดินทางให้กับผู้โดยสารของเรา”

ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ฟิวเซล รุ่นที่ 4 ที่ จีเอ็ม พัฒนามาเป็นความจริงได้สำเร็จ ทำให้ รถพลังงานไฟฟ้า ฟิวเซลอย่าง อีควิน็อกซ์ เป็นรถข้ามสายพันธุ์ที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง และในโครงการทดลองใช้งานรถฟิวเซล Project Driveway จะทำให้ผู้บริโภคย่านชานเมือง ในลอส แองเจลีส ในนิวยอร์ค และในวอร์ชิงตัน ดี.ซี.จะได้ทดลองขับรถฟิวเซลกว่า 100 คัน เป็นเวลา 3 เดือน พร้อมกับให้ความคิดเห็นจากการทดลองใช้งาน และประสบการณ์ที่ได้รับจากการใช้รถยนต์เชฟโรเลต ฟิวเซล ในครั้งนี้ด้วย ผู้ที่ได้ทดลองขับทุกๆ คน จะได้นำรถไปใช้งานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งรวมทั้งการเติมพลังงานไฮโดรเจน และการให้การรับประกันฟรีทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับ ความคิดเห็นอันมีค่าของทุกๆ คน ที่มีต่อการทดลองใช้งานรถยนต์ฟิวเซล ในโครงการ Project Driveway ครั้งนี้ ขณะเดียวกัน รถยนต์เชฟโรเลต ฟิวเซล บางส่วนจะถูกส่งไปให้ทดลองใช้งานในพื้นที่อื่นๆ ของโลก ด้วย เช่น ในเยอรมนี และในเอเซีย

นอกจากระบบพลังงานขับเคลื่อนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงของรถพลังงานไฟฟ้าแล้ว ในด้านของรูปทรงและสมรรถนะการขับขี่ของ อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล นั้นเหมือนกับ เชฟวี่ อีควิน็อกซ์ ทั่วไปที่มีจำหน่ายในตลาดปัจจุบันมาก ระบบเซลล์เชื้อเพลิงนั้นสามารถวางลงไปในห้องเครื่องยนต์ได้พอดี ส่วนชุดแบตเตอรีแร่เงิน ไฮไดรด์ ที่ทำหน้าที่สำรองพลังงานที่ได้จากการแปลงไฟของระบบเบรกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบปฎิบัติการและส่งกำลังให้กับการทำอัตราเร่ง ถูกซ่อนเอาไว้ในพื้นกลางตัวรถ ขณะที่ถังแรงดันพิเศษ 3 ถังสำหรับการบรรจุก๊าซไฮโดรเจนนั้น ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีความแข็งแกร่งและทนแรงดันได้ถึง 10,000 ปอนด์ ต่อ ตารางนิ้ว ถูกเก็บไว้ใต้ที่นั่งเบาะหลังและส่วนกระโปรงท้าย สำหรับระยะทางการใช้งาน อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล เมื่อมีเชื้อเพลิงเต็มถังนั้นสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 150 ไมล์ หรือ ประมาณ 240 กิโลเมตร
ส่วนการออกแบบภายนอกของ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล ด้านหน้าใช้แผงกระจังหน้าแนวนอนทรงสปอร์ตของเชฟโรเลต พร้อมมีสกูปดักลมพิเศษที่ 2 มุม ชายล่างกันชนหน้า ส่วนด้านหลังใต้กันชนได้รับการออกแบบท่อไอเสียใหม่ ให้เป็นช่องสี่เหลี่ยมแนวตั้งบางๆ 4 ท่อ ซึ่งทั้ง 4 ท่อ จะไม่มีไอเสียออกมา แต่จะเป็นไอน้ำที่สะอาดและไร้มลพิษ การออกแบบท่อไอเสียแบบใหม่ให้โดดเด่นเช่นนี้ เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นสามารถรู้ได้ทันทีว่ารถอีควิน็อกซ์คันนี้ไม่ได้มีระบบเผาไหม้เหมือนอีควิน็อกซ์ทั่วๆ ไป

นอกจากนี้ อีควิน็อกซ์ ฟิวเซล ยังมีระบบความปลอดภัยมาตรฐานอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และม่านนิรภัย ระบบเบรก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (StabiliTrak) และระบบสื่อสารให้ความช่วยเหลือผ่านดาวเทียม OnStar

จากภาพ

เซอร์ ริชาร์ด แบรนซัน (ซ้าย) ประธานสายการบิน เวอร์จิน แอตแลนติค กับ ดร.ลาร์รี เบิร์นส์ รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาการวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส มาร่วมแนะนำโครงการการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ไฮโดรเจน ฟิวเซล เป็นรถรับ-ส่ง ผู้โดยสารระดับวีไอพี ให้กับสายการบินเวอร์จิน แอตแลนติค ในสนามบินนานาชาติ ลอส แอนเจลีส โดยการแถลงข่าวมีขึ้นที่เมืองนิวยอร์ก ท่ามกลางสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเริ่มต้นทดลองใช้งานจริง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ปลอดการใช้น้ำมัน ปลอดมลพิษแบบ 100% ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ใช้รถฟิวเซลทดลองกว่า 100 คัน ในโครงการ Project Driveway

28 พ.ค. 2551

CHEVY ร่วมรักษ์ทะเลไทย ให้สวย ใส ไร้ขยะ



ม.ศิลปากร - เชฟโรเลต

ปลุกจิตสำนึกรักษ์ทะเลใส วันสิ่งแวดล้อมโลก


กรุงเทพฯ – ม.ศิลปากร ร่วมกับ จีเอ็มและเชฟโรเลต จัดกิจกรรม “ร่วมรักษ์ทะเลไทย ให้สวย ใส ไร้ขยะ”
วันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ม.ศิลปากร ด้วยการแข่งขันเก็บขยะรูปแบบต่างๆ พร้อมจัดนิทรรศการให้ความรู้ เรื่องผลกระทบจากขยะในทะเล ณ หาดพยูน จ.ระยอง

ด้วยสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยศิลปากร ชักชวนประชาชนและเยาวชนไทยคืนความใสกลับสู่ทะเลสวยให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลในกิจกรรม “ร่วมรักษ์ทะเลไทย ให้สวยใส ไร้ขยะ: 5 มิถุนายน 2551 วันสิ่งแวดล้อมโลก ณ หาดพยูน” อันเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองวาระครบรอบ 65 ปีของมหาวิทยาลัยฯ และในโอกาสนี้ “จีเอ็ม”บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสนับสนุนคาราวานรถพลังงานก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีของเชฟโรเลต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนำเยาวชนรักษ์ธรรมชาติสู่ริมหาดพยูน
 
มหาวิทยาลัยศิลปากร ริเริ่มกิจกรรมรณรงค์เพื่อคืนชีวิตให้กับท้องทะเลในครั้งนี้ขึ้นในวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) หรือวันที่ 5 มิถุนายน 2551 ณ หาดพยูน จังหวัดระยอง โดยได้รับการสนับสนุนจาก เทศบาลตำบลบ้านฉาง สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และรถยนต์เชฟโรเลต รวมทั้ง ชมรมดำน้ำจากโรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา ซึ่งจัดให้มีกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะในทะเล การแข่งขันเก็บขยะบนชายหาด และกิจกรรมเสริมสร้างความรู้จากนิทรรศการ และพื้นฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับผลกระทบของขยะในทะเลที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการจัดการเพื่อแก้ไขปัญหา และการรู้จักเลือกใช้ “ผลิตภัณฑ์สีเขียว” (Green Product) เพื่อช่วยลดผลกระทบที่มีต่อสภาพแวดล้อม 

“เราเล็งเห็นความสำคัญขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม และเชื่อมั่นในศักยภาพของ เด็ก เยาวชน และประชาชนทุกคนในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเริ่มต้นที่ตนเอง มีความเป็นผู้นำ ดังปณิธานที่ว่า โลกสวยด้วยมือเรา เริ่มที่เรา ไม่ต้องรอ” ดร.อุทัย ดุลยเกษม รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความเห็น

“ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่ทุกคนควรจะช่วยกันใส่ใจดูแล” มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เกริ่นนำ ก่อนกล่าวต่อไปอีกว่า “จีเอ็มและเชฟโรเลต เป็นบริษัทที่ให้ความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเสมอมา จากการส่งเสริมกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ของเราก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างชัดเจนจาก รถยนต์ เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท เป็นรถยนต์รุ่นแรกของประเทศไทยที่ได้เป็น ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว และในปีนี้ เชฟโรเลต อาวีโอ ก็เป็นอีกรุ่นที่ได้รับฉลากเขียวเช่นกัน ขณะเดียวกันการส่งคาราวานรถเชฟโรเลต ซีเอ็นจี ที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ นอกจากจะมีความเหมาะสมกับกิจกรรมแล้ว ยังสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตสีเขียว ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ริเริ่มการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถกระบะที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซีเอ็นจี” 

สำหรับเหตุผลที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเลือกจัดกิจกรรมในครั้งนี้ที่ หาดพยูนและหาดน้ำรินในอำเภอบ้านฉาง เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดระยอง ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวประมงในท้องถิ่น ซึ่งทางมหาวิทยาลัยศิลปากรหวังว่า จะเป็นอีกหนึ่งจุดริเริ่มในการส่งเสริมให้ประชาชน และองค์กรต่างๆ หันมาใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น  

จากภาพ:
มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ (ขวาสุด) บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) พร้อมด้วย ชาติชาย สุวรรณเสวก (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการอำนวยการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด ปลุกหัวใจรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งคาราวานเชฟวี่ นำโดย “เชฟโรเลต ออพตร้า ซีเอ็นจี” รถพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับโลก สนับสนุนกิจกรรม “ร่วมรักษ์ทะเลไทย ให้สวย ใส ไร้ขยะ: 5 มิถุนายน 2551 วันสิ่งแวดล้อมโลก ณ หาดพยูน” ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยศิลปากรและเทศบาลตำบลบ้านฉาง โดยได้รับเกียรติจาก ดร. อุทัย ดุลยเกษม (กลาง) รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และรองศาสตราจารย์ ดร. เรณู เวชรัชต์พิมล (ที่ 2 จากขวา) รักษาราชการแทนรองอธิการบดี (ประกันคุณภาพการศึกษา) ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ พร้อมด้วย ลิซ่า แซดเลอร์ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน

26 พ.ค. 2551

GM ร่วมรำลึกถึงสิทธิและความเสมอภาคของผู้หญิงในวันสตรีสากล



กลุ่มสตรีจีเอ็มไทย พร้อมก้าวสู่ศตวรรษใหม
ขับเคลื่อนพลังสตรี
สู่ความสำเร็จด้วยนโยบายความหลากหลาย


กรุงเทพฯ – เดือนพฤษภาคม ถือเป็นเดือนที่หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย จีน เยอรมันนี สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และอีกกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญในฐานะ เดือนแห่งวันสตรีสากล

แม้ว่าวัฒนธรรมการให้ความสำคัญต่อสตรีนั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกต่างเล็งเห็นไปในทิศทางเดียวกันคือ บทบาทของสตรีในที่ทำงาน แต่ในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์นั้นมักจะเห็นว่าพนักงานชายได้เปรียบในด้านบทบาทที่โดดเด่นทั้งในการการปฏิบัติงาน การตัดสินใจ และการบริหาร ทำให้การจ้างพนักงานหญิงที่มีคุณภาพเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมนี้นั้นเป็นเรื่องยาก

เจนเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด โดยในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่สองของ จีเอ็มได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับนโยบายความหลากหลายเพื่อการจ้างงานพนักงานสตรีให้ทำงานกับบริษัทระดับโลกอย่างมีความสุข

ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีผู้หญิงร่วมเข้าแข่งขันการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการมีบทบาทของผู้หญิงร่วมในองค์กรนั้นแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากในอดีตอย่างมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างหญิงกับชายแล้ว ผู้หญิงยังคงมีความโดดเด่นและได้รับการส่งเสริมในด้านอาชีพน้อยกว่าชาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันสตรีสากลที่รำลึกและเฉลิมฉลองสิทธิความเสมอภาคของผู้หญิง และที่วาระที่จีเอ็มจะมีอายุครบ 100 ปีในปี 2551 นี้ “กลุ่มสตรีจีเอ็มไทย” ภาคีสตรีของบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้กำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมในการผลักดันธุรกิจยานยนต์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมบทบาทและสถานภาพของสตรีให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ด้วยนโยบาย “มุ่งสู่ความสำเร็จด้วยความหลากหลาย” หรือ “Drive Success through Diversity” ภายใต้หลักการที่เชื่อว่า ผู้หญิงสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคนไม่ว่าในบทบาทใดก็ตาม ทั้งด้านการปฏิบัติงานในทุกตำแหน่ง การแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง โอกาสในการเป็นผู้บริหารระดับสูง ความสมดุลระหว่างครอบครัว งาน ส่วนตัว และสังคม โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ

1. เพิ่มจำนวนพนักงานสตรีให้มากขึ้น พร้อมส่งเสริมการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการงาน ครอบครัว และสังคมให้กับสมาชิก
2. มุ่งส่งเสริมความรู้และโอกาสในการประกอบอาชีพให้พนักงานสตรี
3. มุ่งส่งเสริมความรู้และยกระดับทักษะในด้านยานยนต์ และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้พนักงานสตรีมากขึ้น
4. กระตุ้นให้เกิดการสานต่อและสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่สมาชิกสตรี
5. เสริมสร้างภาพลักษณ์อันดีของบริษัทฯ ในด้านการเป็นบริษัทยานยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับสตรี และการเป็นบริษัทฯ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ

มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเซีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การที่บริษัทฯ ส่งเสริมให้พนักงานสตรีของ จีเอ็ม และ เชฟโรเลต ร่วมกันจัดตั้ง กลุ่มสตรีจีเอ็มไทย นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ จีเอ็ม ประเทศไทย ที่จะมีส่วนร่วมในการผลักดันให้ สตรีไทย มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการบริหารและปฏิบัติงานในบริษัทยานยนต์ ให้เป็นบริษัทยานยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับสตรี”

นอกจากนี้ มร. คาร์ไลส์ ยังเสริมว่า “นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่า การเป็นพนักงานใน จีเอ็มและเชฟโรเลตนั้น พนักงานทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และสตรีสามารถทำงานแทนบุรุษได้ในทุกตำแหน่งด้วยกระบวนการทำงานที่ปลอดภัยและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพในมาตรฐานเดียวกัน และบริษัทฯ มีนโยบายที่สนับสนุนให้พนักงานของเรานั้นสามารถจัดการในเรื่องภาระส่วนตัว งานที่รับผิดชอบ ความอบอุ่นในครอบครัว และมีเวลาให้สังคมได้อย่างสมดุล ด้วยความเชื่อที่ว่า คุณภาพของรถยนต์ที่เราผลิตนั้น เกิดจากพนักงานที่มีความสุขนั่นเอง”
จีเอ็มและเชฟโรเลต ประเทศไทย มีพนักงานสตรีอยู่ประมาณ 250 คน จากจำนวนพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 3,000 คน เนื่องด้วยจีเอ็มตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบทบาทและความสามารถของพนักงานสตรีให้มีส่วนร่วมในการเติบโตของบริษัทฯ ให้ทัดเทียมกับพนักงานชาย “กลุ่มสตรีจีเอ็มไทย” จึงได้จัดตั้งขึ้นในปี 2548 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมศักยภาพของพนักงานสตรี ทั้งในด้านงานขององค์กร และคุณภาพชีวิตของพนักงาน อันจะนำไปสู่การสร้างพนักงานคุณภาพ สอดคล้องกับ
ปนิธานของจีเอ็มทั่วโลก ที่มุ่งยกระดับบทบาทของผู้หญิงในด้านต่างๆ และเพิ่มสัดส่วนของพนักงานสตรี ลูกค้า และผู้แทนจำหน่ายสตรีให้มากขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก

E-Class Environmental Caravan























เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปลื้มเสียงตอบรับกิจกรรมแฟมีลี่แรลลี่ 
E-Class Environmental Caravan
มากกว่า 50 คัน


กรุงเทพฯ – เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนลูกค้าผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E-Class เข้าร่วมการแข่งขันแฟมิลี่แรลลี่เชิงอนุรักษ์ในรายการ “Mercedes-Benz E-Class Environmental Caravan 2008” เส้นทางกรุงเทพฯ – หัวหิน ระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2008 ที่ผ่านมา ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร พร้อมร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม และรณรงค์รักษาสภาพแวดล้อม โดยมี ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้มากกว่า 50 คัน รวมกว่า 180 คน
กิจกรรม “Mercedes-Benz E-Class Environmental Caravan 2008” เป็นกิจกรรมที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้า และยังถือเป็นโอกาสพิเศษในวาระฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) อีกด้วย สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการจัดกิจกรรมนี้ คือการสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว โดยเน้นไปที่ครอบครัวผู้ที่ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E-Class โฉมปัจจุบันเป็น ยนตรกรรมคู่ใจในการเดินทาง ให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือการใช้งานประจำวัน ด้วยรูปแบบของการแข่งขันแฟมิลี่แรลลี่แบบสบายๆ พร้อมกิจกรรมสนุกสนานและมีเป็นประโยชน์มากมาย
นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กรบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมสำหรับลูกค้าถือเป็นสิ่งที่ทางเราได้ยึดถือเป็นนโยบายหลักของทางบริษัทฯ มาโดยตลอด ทั้งนี้มิใช่เพียงเพื่อตอบแทนความเชื่อมั่นในรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้แต่ละครอบครัวที่ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความประทับใจในตัวของรถ และทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน”
“ทุกทริปที่เราจัดขึ้นสำหรับลูกค้า นอกจากจะมอบความสนุกสนานแล้ว ยังได้สอดแทรกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการขับขี่และการใช้อุปกรณ์ต่างๆของรถอย่างถูกต้อง เพื่อให้ลูกค้าของเราได้ทราบและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอันทันสมัยของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
เช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม ผู้เข้าแข่งขันทุกท่านมารวมตัวอย่างพร้อมเพรียง ณ บริเวณด้านหน้าอาคารศูนย์นิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา เพื่อรับฟังการสรุปเส้นทาง และรายละเอียดของการแข่งขันในครั้งนี้ซึ่งจะใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-หัวหิน และเข้าพักที่โรงแรมหรูบนชายหาดหัวหิน ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่
ช่วงแรกของการแข่งขันนั้นดูคึกคักเป็นพิเศษ ผู้ร่วมแข่งขันทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่เพื่อเป็นผู้ชนะของรายการนี้ ผู้เข้าแข่งขันต่างพยายามรักษาเส้นทางและเวลาซึ่งจะมีผลในการจับฉลากใน TC ที่ 1 เพื่อให้ทีมของตัวเองเสียแต้มที่น้อยที่สุด สำหรับกิจกรรมใน TC ที่ 2 นั้นเป็นการตอบคำถามเพื่อหาแฟนพันธุ์แท้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งทั้งครอบครัวตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ ต่างโชว์ความสามัคคีกันเต็มที่ในการหาคำตอบที่ถูกต้อง
นอกจากความสนุกสนานในการแข่งขันแรลลี่แล้ว ก็มาถึงกิจกรรมไฮไลท์ของทริปนี้ นั่นคือการบริจาคอุปกรณ์การเรียนรวมถึงเสื้อผ้า และของใช้ที่จำเป็น ให้แก่บรรดานักเรียนโรงเรียน ณ ศูนย์พัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งยังร่วมกันปลูกป่า เพื่อเป็นการรณรงค์รักษาสภาพแวดล้อมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการลดสภาวะโลกร้อนทางหนึ่งด้วย
ส่วนกิจกรรมบนเวที อาทิ เกมส์ของคุณหนูๆที่ต้องพูดคำว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ให้นานที่สุด นั้นเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากบรรดาคุณพ่อ คุณแม่ และกองเชียร์ที่ให้กำลังใจอยู่ด้านล่างเวทีอย่างกึกก้อง ตามด้วยการแจกของรางวัลจากเมอร์เซเดส-เบนซ์มากมาย ซึ่งทุกท่านก็ได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านไป
สำหรับรางวัลเลิศในกิจกรรม Mercedes-Benz E-Class Environmental Caravan 2008 ตกเป็นของคุณจิตติรัตน์ ตันติสิรินทร์ เจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น E220 CDI หมายเลขรถ 37 โดยได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร พร้อมนาฬิกา E-Class มูลค่ากว่า 12,000 บาท ส่วนรองอันดับหนึ่งคือ คุณ กิติธัช มนตรีโชค และ รองอันดับสอง คุณศุภวิทย์ ธุวะเจริญพานิช ซึ่งทั้งคู่ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E220 CDI ในการแข่งขัน
และปิดท้ายกิจกรรมของทริปนี้ด้วยมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องคู่หูคุณภาพ “สุเมธแอนด์เดอะปั๋ง” ที่มาสร้างทั้งความประทับใจไปกับบทเพลงเพราะๆ และเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในค่ำคืนนั้น
รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมากในเมืองไทย และเป็นที่ยอมรับในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ให้ความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ และด้วยผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกิจกรรม “Mercedes-Benz E-Class Environmental Caravan 2008” ในครั้งนี้ เตรียมพบกับกิจกรรมดีๆที่ทางบริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์จัดเตรียมไว้ให้ลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ในปี 2008 นี้

24 พ.ค. 2551

VOLVO C30 E85 คว้าชัยในการแข่งขันเอสทีซีซีปี 2008





ทอมมี่ รุสทาด นำ “วอลโว่ C30 E85”
คว้าชัยในการแข่งขันเอสทีซีซีปี 2008


กรุงเทพฯ, 2551 – ทีมวอลโว่โพลสตาร์ คว้าชัยในการแข่งขันสนามที่ 3 ของการแข่งขัน สวีดิช ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพ (เอสทีซีซี) ที่แมนทอร์พ พาร์ค โดยทอมมี่ รุสทาด นำ “วอลโว่ C30 E85” พลังไบโอเอทานอล เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 2 โดยมีโรเบิร์ต ดาห์ลเกรนซึ่งออกสตาร์ทตามหลังเป็นอันดับที่ 16 แต่สามารถเร่งแซงทุกคันจนเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 ได้อย่างน่าประทับใจ

ในรอบคัดเลือก แม้ว่าจะมีฝนตกก่อนการแข่งขัน ทำให้สนามแข่งที่แมนทอร์พ พาร์คเปียกและลื่น แต่ทอมมี่ รุสทาดก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าอันดับ 2 ในการแข่งขันรอบนี้ ส่วนโรเบิร์ต ดาห์ลเกรนขับพลาดออกไปนอกเลน จนทำให้รถยนต์เสียหายและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 16

อย่างไรก็ตาม หลังจากทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจนักในรอบแรก ความสำเร็จก็มาเยือนทีมวอลโว่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะทอมมี่ก็สามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 ส่วนโรเบิร์ตก็สามารถกลับมาทำเวลาได้ดีขึ้นและคว้าอันดับ 4 ไปในที่สุด

ทีมโพลสตาร์ใช้ความคล่องแคล่วว่องไวในการเปลี่ยนยางทั้ง 4 ล้อให้กับรถยนต์ในทีมแต่ละคันด้วยเวลาเพียง 20 วินาที ทอมมี่จึงสามารถเอาชนะทั้งสภาวะอากาศที่ไม่เป็นใจและคู่แข่งทั่วสนามได้อย่างสบายและคว้าอันดับที่ 2 ไปในที่สุด

“ผมรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะทำผลงานให้ออกมาได้แบบนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ผมรู้สึกมีความสุขมากครับที่ได้ร่วมงานกับทีมซูเปอร์สตาร์รวมถึงได้ขับสุดยอดรถยนต์อย่างวอลโว่ C30 E85 คันนี้” ทอมมี่ รุสทาด กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“วอลโว่ C30” รถยนต์สปอร์ตคูเป้สุดหรูที่มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังหลายรูปแบบ หนึ่งในเครื่องยนต์ที่ให้สมรรถนะไม่แพ้เครื่องยนต์อื่นๆ ก็คือ เครื่องยนต์ Flexifuel E85 ที่สามารถใช้พลังงานได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่น้ำมันเบนซินธรรมดา ไปจนถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตั้งแต่ E10, E20 จนถึง E85 ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้น้ำมันประเภทใดก็ให้สมรรถนะแรงได้มากพอๆ กัน ดังจะเห็นได้จากผลการแข่งขันของทอมมี่ รุสทาดในการแข่งขันเอสทีซีซีสนามนี้

ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ในการแข่งขันเอสทีซีซีในรอบนี้คือ เท็ด บียอร์คจากทีมฮอนด้า รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแข่งขันรายการเอสทีซีซี สามารถคลิกเข้าไปชมได้ที่ http://www.stcc.se/ (เป็นภาษาสวีเดนเท่านั้น)

ข้อมูลทั่วไป:
• วอลโว่ คาร์ คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทในเครือ ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโกเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน
• วอลโว่ คาร์ คอร์ปอเรชั่น เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2505 โดยเริ่มต้นจากการจำหน่ายผ่านบริษัทผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายอิสระ จากนั้นจึงจัดตั้งเป็นบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี 2514 ดูแลการจัดจำหน่ายทั่วประเทศ และได้เข้าบริหารการจัดจำหน่ายแทนบริษัท เอสเอ็มซี มอเตอร์ส ตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบัน วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) มีพนักงานจำนวน 33 คน
• วอลโว่จัดตั้งบริษัท ไทย-สวีดิช แอสเซ็มบลี จำกัด (ทีเอสเอ) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของตนเองภายในประเทศตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งผลิตรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกหลากหลายรุ่นอาทิ วอลโว่ XC90, วอลโว่ All-New S80, วอลโว่ S60 และ วอลโว่ V70 ปัจจุบัน ทีเอสเอมีพนักงานจำนวนกว่า 300 คน วอลโว่ คาร์ยังนำเข้า วอลโว่ All-new C70 สปอร์ตคูเป้/คอนเวอร์ทิเบิล รวมถึงวอลโว่ C30 คูเป้มาจำหน่ายในประเทศไทยอีกด้วย
• ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่อย่างเป็นทางการโดยได้รับอนุญาต มีทั้งหมด 8 บริษัท ซึ่งดูแลโชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ 12 โชว์รูม แบ่งเป็นโชว์รูมในกรุงเทพฯจำนวน 6 โชว์รูม และโชว์รูมในต่างจังหวัดจำนวน 6 โชว์รูม ได้แก่ เวิร์นส์ มอเตอร์ส (สาขาหัวหมากและลาดพร้าว) เอสเอ็มซี มอเตอร์ส (สาขาสุขุมวิท 22 และ สีลม) โกเทนเบิร์ก ออโตโมบิลส์ (ศรีนครินทร์) สแกนดิเนเวียน ออโต้ (รามอินทรา) และสาขาอื่นๆ ในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่สวีเดน มอเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่, ขอนแก่นเจริญศรี จังหวัดขอนแก่น, นครปฐม มอเตอร์ส จังหวัดนครปฐม, เอสเอ็มซี มอเตอร์ส จังหวัดชลบุรี, หาดใหญ่ ออโต้ จังหวัดสงขลา และโชว์รูมใหม่ที่กำลังจะเปิดดำเนินการในจังหวัดภูเก็ต
• รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของวอลโว่ คาร์ สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.volvocars.co.th หรือติดต่อได้ที่โชว์รูมของวอลโว่ใกล้บ้านคุณ
• สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบไฟล์วิดิทัศน์ สามารถลงทะเบียนและเรียกดูได้ที่เว็บไซต์ www.media.volvocars.com คลิกที่ ‘Broadcast Room’ เพื่อเลือกชมและเลือกดูไฟล์ เมื่อลงทะเบียนแล้ว คุณสามารถเรียกดูข้อมูลมาตรฐานในรูปแบบไฟล์วีดิโอทั้งทางดิจิตอลในเว็บไซต์ และทางเทป ทั้งนี้ สื่อมวลชนสามารถลงทะเบียนและเรียกดูไฟล์วีดิโอได้ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

23 พ.ค. 2551

เขื่อนขุนด่านปราการชลมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน





เขื่อนขุนด่านปราการชลมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน
ชิงถ้วยพระราชทาน... สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยเกียรติยศ
ในการแข่งขันวิ่ง “เขื่อนขุนด่านปราการชลมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน”

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎร ทรงพระราชทานพระราชดำริสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีน้ำใช้ตลอดปี บรรเทาปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี เขื่อนขุนด่านปราการชลเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2542 แล้วเสร็จปี 2548 และเริ่มกักเก็บน้ำเรื่อยมา ด้วยความจุ 224 ล้านลูกบาศก์เมตร ความสูง 93 เมตร ความยาวสันเขื่อน 2,549 เมตรเป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดยาวที่สุดในโลก อำนวยประโยชน์ด้านชลประทานและการเกษตรเรื่อยมา รวมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน
นอกจากประโยชน์โดยตรงในเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำแล้ว เขื่อนขุนด่านปราการชลยังก่อประโยชน์ทางอ้อมหลายประการ เช่น ด้านการท่องเที่ยว ด้วยภูมิประเทศของตัวเขื่อนที่รายล้อมด้วยป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับตัวเขื่อน ส่งผลให้เขื่อนเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัดนครนายก และน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนยังส่งผลดีต่อกิจกรรมล่องแก่งที่สามารถล่องได้ตลอดทั้งปี สร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชนมากยิ่งขึ้น
นายไพรัตน์ สกลพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เปิดเผยว่า เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมพลังชาวไทยแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในมหากรุณาธิคุณ โดยเฉพาะพระมหากรุณาธิคุณด้านการชลประทานและการจัดสรรทรัพยากรทางธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทรงพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายโครงการ โดยเฉพาะเขื่อนขุนด่านปราการชล ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดนครนายกที่ก่อเกิดประโยชน์นานัปการ รวมทั้งส่งเสริมการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประชาสัมพันธ์เขื่อน ฯ ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
จังหวัดนครนายก ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ชาวจังหวัดนครนายก และ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา จัดการแข่งขันวิ่ง “เขื่อนขุนด่านปราการชลมินิ – ฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 3” ในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ชิงถ้วยพระราชทานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยเกียรติยศ
ประเภทการแข่งขัน ได้แก่
1. ประเภทฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง 21.1 กิโลเมตร ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และถ้วยรางวัลเกียรติยศ (เริ่ม 05.30 – 08.30 น.) ค่าสมัคร 300 บาท
2. ประเภทมินิมาราธอน ระยะทาง 13 กิโลเมตร ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยรางวัลเกียรติยศ (เริ่ม 06.00 – 08.30 น.) ค่าสมัคร 250 บาท
3. ประเภทเดิน – วิ่ง เพื่อสุขภาพ (Fun Run) ระยะทาง 4 กิโลเมตร (เริ่ม 06.30 – 07.00 น.) ชิงถ้วยของผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก และถ้วยรางวัล ค่าสมัคร 200 บาท
รางวัลการแข่งขัน : ผู้วิ่งถึงเส้นชัยจะได้รับเหรียญที่ระลึกทุกคน
นางอธิชา โรจนสุวรรณ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงาน นครนายก กล่าวเพิ่มเติมว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในช่วงของการแข่งขันวิ่งเขื่อนฯ สามารถจะแวะชมและสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวมากมายให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่เข้าร่วมแข่งขัน “เขื่อนขุนด่านปราการชลมินิ – ฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 3” ได้เลือกสรรจัดไว้ในโปรแกรมของการเดินทาง
จากกรุงเทพ ฯ มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองนครนายกใช้เส้นทางได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรกแยกรังสิตตามทางหลวงหมายเลข 305 เลียบคลองรังสิต ผ่านอำเภอองครักษ์ระยะทาง 105 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งตามทางหลวงหมายเลข 1 เลี้ยวขวาที่หินกองไปตามถนนสุวรรณศร ทางหลวงหมายเลข 33 จนถึงนครนายก ระยะทาง 137 กิโลเมตร
กิจกรรมล่องแก่งลำน้ำนครนายก น้ำตกสาริกา

จุดท่องเที่ยวจุดแรกแวะชมพิพิธภัณฑ์ “รร.จปร.100 ปี” ที่ “โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า” กราบขอพรพระศักดิ์สิทธิ์และชมอุโบสถอายุกว่า 200 ปีที่ “วัดใหญ่ทักขิณาราม” จากนั้นมุ่งหน้าสู่ถนนน้ำตก ทางหลวงหมายเลข 3049 ชมน้ำตกงาม 3 แห่ง – น้ำตกสาริกา น้ำตกนางรอง อุทยานวังตะไคร้ หรือจะสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดด้วยกิจกรรม “ล่องแก่งลำน้ำนครนายก” ปั่นจักรยานชมทิวทัศน์และวิถีชีวิตชาวสวน โรยตัวจากหน้าผาจริง/จำลอง “ศูนย์ผจญภัยเขาหล่น” ยามเย็นพักผ่อนในโรงแรม/รีสอร์ท หลากหลายบรรยากาศมีให้เลือกมากกว่า 50 แห่ง
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 เดินทางมาชมการแข่งขันวิ่งฯ หรือจะร่วมการแข่งขันเดินวิ่งด้วยก็ได้ ณ เขื่อนขุนด่านปราการชลเขื่อนคอนกรีตบดอัดยาวที่สุดในโลก
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ส่วนหนึ่งของตะเกียงนับหมื่นที่พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์

ยามสายใช้เวลาประมาณ 30 นาที เดินทางไปยังจังหวัดปราจีนบุรี ไหว้หลวงพ่ออภัยทานและชมสถาปัตยกรรม 4 ชาติ ที่ “วัดแก้วพิจิตร” ชม “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี” ศูนย์รวมประวัติศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออก ก่อนจะแวะชม–แวะซื้อ–แวะนวดที่ “โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร” ฟังเรื่องเล่าเรื่องเก่าของเมืองปราจีนและชมของสะสมของคนช่างเก็บ “พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์” และก่อนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ เลือกซื้อผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรีเป็นของฝาก เช่น ทุเรียน มังคุด กระท้อน รับรองได้ของเขาดีรสชาติอร่อย
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่และสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ฯ ได้ที่ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครนายก โทร.0-3731-3283
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 1672 และ www.tat8.com เปิดบริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.

22 พ.ค. 2551

โปนิวาเปิดตัวรถดัดแปลงโตโยต้า มูฟวิ่ง ฟิช



โปนิวาเปิดตัวรถดัดแปลงโตโยต้า มูฟวิ่ง ฟิช
นวัตกรรมใหม่ครั้งแรกของตลาดอาเซียน
• โปนิวา เปิดตัว รถยนต์ดัดแปลงโตโยต้า รุ่น “มูฟวิ่ง ฟิช” นวัตกรรมใหม่ครั้งแรกของอาเซียน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจขนส่งสัตว์น้ำ ปลาสวยงาม รวมถึงการขนส่งปลา ปูและกุ้งเป็น สำหรับร้านอาหาร และการขนส่งสัตว์น้ำเพื่อการขยายพันธุ์ปลาที่ต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษ
• ตัวถังทำจากไฟเบอร์ ช่วยให้น้ำหนักเบา ประหยัดต้นทุนจากการขนส่ง ไม่เป็นสนิม และที่สำคัญคือ มีฉนวนกันความร้อน ช่วยให้ลดอัตราการตายของสัตว์น้ำระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งทางไกล
• ตัวถังปิดสนิท ทำให้น้ำไม่หกลงพื้นถนน ซึ่งน้ำเหล่านี้ทำให้ถนนลื่น จนนำไปสู่อุบัติเหตุ
• ราคาช่วงโปรโมชั่น 6 แสนบาท สำหรับรถยนต์ที่ดัดแปลงจากโตโยต้า วีโก้

นายธนรัชต์ พยาน้อย กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปนิวา จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์ระดับมาตราฐานของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนงานรุกตลาดรถยนต์ดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรรมรถยนต์ดัดแปลงของไทย โดยร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาพัฒนารถยนต์ดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าในราคาจำหน่ายที่สมเหตุสมผล

ล่าสุดโปนิวาได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนารถยนต์ดัดแปลงเพื่อสำหรับการขนส่งในธุรกิจขนส่งสัตว์น้ำ รุ่น “มูฟวิ่ง ฟิช” โดยดัดแปลงจากรถกระบะโตโยต้า วีโก้

“ธุรกิจการขนส่งสัตว์น้ำกำลังขยายตัว เนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งส่งออกสัตว์น้ำประเภทปลาสวยงาม รายใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก นอกจากนี้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งกุ้งและปลาเพื่อเป็นแม่พันธุ์ และการขนส่งสัตว์น้ำสำหรับร้านอาหาร ก็กำลังเติบโตตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น”

รถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้บรรทุกสัตว์น้ำ “มูฟวิ่ง ฟิช (Moving Fish)” ที่ดัดแปลงมาจากรถโตโยต้า ให้ความประหยัดเป็นเยี่ยม ลดต้นทุนการขนส่ง และยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ในการขนส่งระดับมาตรฐาน ราคาจำหน่ายในช่วงแรกตั้งไว้ที่6 แสนบาท อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ได้ตั้งเป้ายอดขายจากการจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ โดยช่วงแรกของการเปิดตัวนี้บริษัทจะเน้นการสื่อสารให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดผลิตภัณฑ์และประโยชน์การใช้งานของรถยนต์โปนิวา มูฟวิ่ง ฟิชเป็นหลัก”

การเปิดตัวรถยนต์ขนส่งสัตว์น้ำรุ่นมูฟวิ่งฟิชนี้ถือเป็นรายแรกของประเทศไทยและอาเซียน โดยการขนส่งสัตว์น้ำด้วยรถโปนิวา มูฟวิ่ง ฟิช ยังถือเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เนื่องจากตัวถังที่บรรทุกสัตว์น้ำออกแบบพิเศษ ทำให้น้ำจากถังไม่ไหลลงพื้นถนน ซึ่งน้ำดังกล่าวมีเมือกจากปลาและเกลือเป็นส่วนผสม ทำให้พื้นถนนลื่น จนนำไปสู่อุบัติเหตุ และความสกปรกต่อท้องถนน

ปัจจุบันธุรกิจการขนส่งสัตว์น้ำทั้งปลา ปู กุ้ง ที่เป็นน้ำจืดและน้ำเค็มนั้นใช้การขนส่งแบบเก่า กล่าวคือ ขนส่งด้วยรถยนต์กระบะที่มีอุปกรณ์ต่อพ่วงแบบง่ายๆ คือ ติดตั้งมอเตอร์สำหรับปั๊มอากาศใส่ถังพลาสติก ซึ่งการขนส่งดังกล่าวนั้นจะทำให้ปลา ปู และกุ้งเกิดบาดแผลเนื่องจากการเบียดเสียดกัน นอกจากนี้อัตราส่วนการตายของสัตว์น้ำระหว่างการขนส่งยังสูงอีกด้วย ทำให้มูลค่าและคุณภาพของสัตว์น้ำที่ได้ลดลง

“รถยนต์โปนิวา มูฟวิ่งฟิช ช่วยให้ธุรกิจการขนส่งสัตว์น้ำสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เสัตว์น้ำที่ขนส่งด้วยมูฟวิ่งฟิชไม่เกิดความเครียด เนื่องจากเป็นระบบปิด ไม่มีแสงสว่างรอดเข้าไป ซึ่งแสงสว่างจากการขนส่งมีผลต่อความเครียดของสัตว์น้ำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราการตายของสัตว์น้ำระหว่างขนสูงสูง และน้ำไม่กระเด็นออกจากถังที่ออกแบบมาอย่างดีอีกด้วย”นายธนรัชต์กล่าวและว่า

สำหรับจุดเด่นของรถมูฟวิ่ง ฟิช อีกประการหนึ่งก็คือ ตัวถังของถังบรรจุทำจากไฟเบอร์ ที่มีฉนวนกันความร้อน ทำให้ความร้อนไม่สามารถถ่ายเทไปยังน้ำ (ซึ่งในธุรกิจขนส่งสัตว์น้ำนั้นจำเป็นต้องมีอุณภูมิต่ำ) ที่สำคัญตัวถังของมูฟวิ่งฟิช ไม่เกิดสนิม เหมือนกับกระบะที่ทำมาจากสเตนเลส ซึ่งนอกจากมีน้ำหนักมาก ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงแล้ว ยังไม่สามารถป้องกันความร้อนได้อีกด้วย

รายละเอียดรถยนต์โปนิวา โตโยต้า มูฟวิ่ง ฟิช
การขนส่งปลาด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่อย่างรถยนต์โปนิวา Moving Fish นั้นช่วยให้ธุรกิจขนส่งสัตว์น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการบาดเจ็บและตายของสัตว์น้ำ
มูฟวิ่ง ฟิช เหมาะสำหรับการขนส่งสัตว์น้ำที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง และช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของบริษัทขนส่งสัตว์น้ำ ให้มีความทันสมัยและเป็นมืออาชีพ มากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบจากวัสดุที่เป็นมาตราฐาน และดีไซน์ที่ล้ำสมัย

ตัวถังของรถยนต์ดัดแปลง มูฟวิ่ง ฟิช ทำจากวัสดุไฟเบอร์ ที่ทั้งสวยงามและแข็งแรงเทียบเท่ากับเหล็กและสเตนเลส แต่ไม่เป็นสนิม มีอายุการใช้งานยาวนาน โดยเฉพาะการขนส่งสัตว์น้ำทะเล ที่มีกรดและความเค็มจากน้ำทะเล นอกจากนี้

ภายในช่องว่างระหว่างตัวถังไฟเบอร์ยังมีชั้นโฟมนวัตกรรมใหม่ ป้องกันความร้อนจากภายนอกที่จะถ่ายเทมายังภายในถังบรรจุสัตว์น้ำ ซึ่งเมื่ออุณหภูมิน้ำอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้สัตว์น้ำไม่เกิดความเครียด และมีอัตราการหายใจต่ำ (อัตราการหายใจต่ำ ทำให้สัตว์น้ำไม่ปล่อยของเสียและเมือกออกมา อัตราการตายจึงลดลง ในทางตรงกันข้ามหากน้ำมีสารแขวนลอยจากสัตว์น้ำปริมาณออกซิเจนจะลดลง อัตราการตายจะสูงขึ้น)

ตัวถังของรถยนต์โปนิวา มูฟวิ่ง ฟิช แบ่งออกเป็น 4 ช่อง สามารถแยกชนิดของสัตว์น้ำได้มากถึง 4 ประเภท ไม่ปะปนกัน



ฝาปิดด้านบน เปิด-ปิดง่าย กันความร้อน มีสีสันสวยงาม และสามารถล็อกได้สนิท ด้วยกลไกง่ายๆแต่ทันสมัย ป้องกันน้ำกระเด็นและไหลออกจากถังรวมถึงป้องกันแสงจากภายนอกไม่ให้รบกวนสัตว์น้ำตื่นตระหนกระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งระยะทางไกล



ด้านข้างของตัวถังรถมูฟวิ่ง ฟิช ดีไซน์พิเศษ “หน้าต่างด้านข้าง” ช่วยให้สามารถมองเห็นสัตว์น้ำในถังได้ แยกเป็นสัดส่วนแต่ละถัง ซึ่งหากว่าสัตว์น้ำเกิดอาการผิดปกติระหว่างการขนส่ง ก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที

ด้านท้ายรถมียางกันชนพิเศษ ทำจากยางคุณภาพสูง ป้องกันการกระแทก อายุการใช้งานนาน ขณะที่ด้านข้างมีแถบกันลื่น ช่วยให้การทำงานขนถ่ายสัตว์น้ำสะดวก โดยเฉพาะเมื่อต้องปีนขึ้นไปด้านบนของตัวถัง เพื่อเตรียมการขนส่งสัตว์น้ำ


ช่องพิเศษแบ่งออกเป็น 3 ช่อง โดย2 ช่องด้านซ้ายและขวา สามารถติดตั้งถังอ๊อกซิเจน เพื่อกระจายไปยังถังบรรจุสัตว์น้ำได้ทั้ง 4 ถัง ส่วนช่องกลาง สามารถเก็บวัสดุหรืออุปกรณ์ อาทิ สวิงช้อน ยา และสารเคมี



ช่องระบายน้ำ สะดวก สามารถปล่อยน้ำออกได้ง่าย



ตัวถังขนาดใหญ่น้ำหนักเบา เนื่องจากทำจากไฟเบอร์ ทำให้สามารถจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล วิ่งเข้าเมืองได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยตัวถังรถมูฟวิ่ง ฟิชได้รับการติดตั้งมาอย่างแน่นหนา เสริมด้วยแหนบ เพื่อความปลอดภัยระหว่างการขนส่ง

MAZDA ลุยตลาดที่เชียงใหม่ เพิ่มส่วนแบ่งอีก 10 เปอร์เซ็นต์




มาสด้าแกร่งในตลาดรถยนต์เชียงใหม่
2 ดีลเลอร์รายใหญ่ มาสด้า เชียงใหม่ประสานมือวิริยะมาสด้า
เพิ่มอุณหภูมิตลาดรถยนต์ภาคเหนือให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น

เชียงใหม่ – ประเทศไทย, 22 พฤษภาคม 2551 – ผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้ารายใหญ่ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ประสานมือกระตุ้นธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ภาคเหนือให้ร้อนระอุ เตรียมเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอีก 10 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทิ้งห่างคู่แข่ง ย้ำนโยบายบริษัทแม่มาถูกทางแล้ว ทั้งการทำการตลาดที่แตกต่างและเข้าถึงลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมาย การวางตำแหน่งของสินค้าที่เหมาะสม การสร้างอิมเมจตราสินค้าที่ต่อเนื่องในเชิงรุก และนโยบายการสร้างความพึงพอใจสูงสุดรวมทั้งการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการช่วยให้ผู้จำหน่ายสร้างความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันในตลาดได้
นางสุจินต์ ศิริมหาราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้าเชียงใหม่ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันมาสด้า เชียงใหม่ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาสด้ามายาวนานกว่า 50 ปี ขณะนี้เรามีสาขารวมทั้งสิ้น 3 สาขา ประกอบด้วย สำนักงานใหญ่ถนนมหิดล สาขาถนนเจริญเมือง และสาขาถนนเชียงใหม่-ลำพูน สำหรับ สถานการณ์ตลาดรถยนต์มาสด้าโดยรวมในจังหวัดเชียงใหม่ รถยนต์มาสด้าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดียิ่ง โดยยอดขายของเราขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของตลาดในจังหวัด เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 30-40 คัน ซึ่งเรากำลังเล็งเพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้น นอกจากนี้ทางมาสด้า เชียงใหม่ยังเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะทีมงานทั้งทางด้านการขาย ช่างเทคนิค รวมทั้งความพร้อมของอะไหล่และบริการ โดยเฉพาะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากบริษัทแม่ ทั้งทางด้านนโยบายที่ชัดเจน การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง การจัดแคมเปญส่งเสริมทางด้านการตลาดและการขายที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตลอดการส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้วันนี้เห็นรถยนต์มาสด้าวิ่งบนถนนในจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทางด้าน นายสมควร ศิริจิตรจินดา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะมาสด้า จำกัด กล่าวว่า วิริยะมาสด้า เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้ารายล่าสุดในเมืองเชียงใหม่ เราเล็งเห็นการเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งของมาสด้า และได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจกับมาสด้า โดยเฉพาะการลงทุนสร้างโชว์และศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้าแห่งใหม่บนถนนซูเปอร์-ไฮเวย์ เพื่อรองรับลูกค้าที่กำลังมีการขยายเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันเรามีทีมงานที่แข็งแกร่ง ทำขึ้นยอดขายของเราเกินเป้าหมายทุกเดือน ซึ่งปัจจุบันเราจำหน่ายได้ประมาณเดือนละ 25-30 คัน นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการเป็นผู้จำหน่ายรายใหม่ๆที่เข้ามาทำธุรกิจด้านรถยนต์ ทำหรับวิริยะมาสด้าเราทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง โดยการออกไปหาลูกค้าเช่น การออกบูธตามห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด งานประจำปี รวมทั้งการจัดโรดโชว์ตามสถานที่ต่างๆ
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับตลาดรถยนต์ของจังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมาสด้า เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีการแข่งขันที่รุนแรง การมีผู้จำหน่ายรายใหญ่ 2 ราย ช่วยเพิ่มศักยภาพของการแข่งขันให้กับมาสด้าในตลาดหลักๆ และสามารถรักษาตำแหน่งยอดขายรวมอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดรถยนต์จังหวัดเชียงใหม่ โดยมียอดขายต่อเดือนประมาณ 60-70 คัน นับว่าเป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนโยบายทางด้านการตลาดที่เรามอบให้กับผู้จำหน่ายทุกรายทั่วประเทศแล้ว การให้การส่งเสริมและพัฒนาในด้านบุคลากรก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง มาสด้ามีการจัดฝึกอบรมให้กับพนักงาน รวมทั้งผู้บริหารของผู้จำหน่ายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้มาสด้ายังจัดโรดโชว์ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเร็วๆนี้จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และต่อด้วยจังหวัดสุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช และสิ้นสุดที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งภายในงานเตรียมพบกับกิจกรรมสนุกสนานต่างๆมากมาย รวมทั้งคอนเสิร์ตจากศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง พร้อมรับของที่ระลึก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
นอกจากนี้มาสด้ายังมอบแคมเปญพิเศษให้กับลูกค้าตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ ประกอบด้วย รถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 ที่มาพร้อมระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DE-S เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ด้วยเงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.75 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 84 เดือน พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และเพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทางมาสด้ายินดีมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่งโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี สำหรับรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ที่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 รับสิทธิพิเศษมากมายเช่นกัน ให้คุณเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 775,900 บาท เงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเริ่มต้นเพียง 1.59 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 7 ปี หรือ 84 เดือน พร้อมความอุ่นใจตลอดการเดินทางรับฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงนานถึง 3 ปี
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้ายานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้าที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมทดลองขับก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ และรับข้อเสนอสุดพิเศษจากมาสด้าได้แล้ววันนี้
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแรง และรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 91 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

ฟอร์ดบริจาค 5 ล้านหยวน พร้อมรถกู้ชีพช่วยจีน



ฟอร์ดบริจาค 5 ล้านหยวน พร้อมรถกู้ชีพ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในจีน

ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี บริจาคเงิน 5 ล้านหยวน รวมทั้งรถยนต์สมรรถนะเยี่ยม เพื่อสนับสนุนทีมกู้ภัยที่กำลังทำงานแข่งกับเวลาในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดที่เมืองเหวินฉวน มณฑลเสฉวน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยความช่วยเหลือได้ส่งผ่านทางบริษัทร่วมทุนของฟอร์ดในประเทศจีน นอกจากนี้บริษัทฯ จะระดมเงินบริจาคและความช่วยเหลือในทุกรูปแบบจากสำนักงานของบริษัทฯ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม

การบริจาคในครั้งแรกนี้ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้มอบเงิน 1 ล้านหยวน พร้อมรถตู้ฟอร์ดทรานซิทสำหรับใช้เป็นรถพยาบาลและรถสนับสนุนทีมกู้ภัยรวมมูลค่าอีก 1 ล้านหยวน พร้อมกันนี้ บริษัท ฉางอาน ฟอร์ด มาสด้า ออโตโมบิล จำกัด ร่วมบริจาคเงินอีก 1.5 ล้านหยวน และบริษัท เจียงหลิง มอเตอร์ส จำกัด บริจาครถยนต์ เจเอ็มซี/ฟอร์ดมูลค่า 1.5 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนการกู้ภัยและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

มร. โรเบิร์ต กราเซียโน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ ไชน่า กล่าวว่า “บริษัทฯ เป็นห่วงผู้ประสบภัยมาก และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เราได้ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตลอดจนประสานงานกับทีมกู้ภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำลังพยายามช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ และเรายังคงประสานงานกับสำนักงานของเรารวมถึงผู้จำหน่ายและซัพพลายเออร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในการประเมินผลและดูว่ายังมีทางใดที่เราจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยและทีมกู้ภัยได้อีก”


ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กำลังประสานงานกับกองทุนฟอร์ด (Ford Fund) เพื่อเป็นช่องทางรับ
เงินบริจาคจากพนักงานของฟอร์ดทั่วโลก ซึ่งสามารถแจ้งความจำนงได้ที่เว็บไซต์ www.globalgiving.com ทั้งนี้บริษัทฯ จะร่วมสมทบเงินบริจาคในจำนวนเท่ากันกับที่ได้รับบริจาคผ่านทางกองทุนฟอร์ดและเว็บไซต์ดังกล่าว ภายในวงเงินไม่เกิน 500,000 หยวน ให้แก่สภากาชาดอเมริกันเพื่อช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องต่อไป

พนักงานฟอร์ด ในประเทศจีนได้รวบรวมอาหารและเสื้อผ้านำไปมอบให้แก่หน่วยงานกู้ภัยพร้อมกันกับการส่งมอบรถยนต์ กองทุนฟอร์ดและฟอร์ด มอเตอร์ ไชน่าจะพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติมสำหรับโครงการอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ของพนักงานฟอร์ดและการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จะขึ้นต่อไปในอนาคต

ในฐานะองค์กรที่เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนีได้ให้การสนับสนุนงานด้านการพัฒนาสังคมในประเทศจีนอย่างจริงจังและต่อเนื่องพร้อมไปกับการพัฒนาธุรกิจ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมมากมายทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยบนท้องถนน สุขภาพและอนามัย ตลอดจนการศึกษาสำหรับเยาวชน
 
ข้อมูลเกี่ยวกับฟอร์ด มอเตอร์ ในประเทศจีน



ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเดียร์บอร์น มลรัฐมิชิแกน ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์คุณภาพสูงในกว่า 200 ตลาดใน 6 ทวีปทั่วโลก บริษัทฯ มีพนักงานประมาณ 245,000 คนและมีโรงงานประมาณ 100 แห่งทั่วโลก โดยเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์ชั้นนำหลาย แบรนด์ ได้แก่ ฟอร์ด ลินคอล์น เมอร์คิวรี วอลโว่ และมาสด้า บริษัทได้ให้บริการทางการเงินผ่านบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ เครดิต จำกัด

บริษัทฯ ดำเนินกิจการในประเทศจีนในหลายรูปแบบ ทั้งบริษัทลูกที่ฟอร์ดเป็นผู้ถือหุ้นเต็มจำนวน และบริษัทร่วมทุน โดยมีบริษัทในเครือได้แก่ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (ไชน่า) จำกัด บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ รีเสิร์ช แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง (นานจิง) จำกัด ฟอร์ด ออโตโมทีฟ ไฟแนนซ์ (ไชน่า) บริษัท ฉางอาน ฟอร์ด มาสด้า ออโตโมบิล จำกัด บริษัท นานจิง จำกัด บริษัท ฉางออาน ฟอร์ด มาสด้า เอ็นจิน จำกัด และ บริษัท เจียงหลิง มอเตอร์ส จำกัด

21 พ.ค. 2551

mazda บริจาคเงินจำนวน 2.5 ล้านหยวนช่วยจีน


มาสด้าบริจาคเงินจำนวน 2.5 ล้านหยวน

หรือเกือบ 10 ล้านบาท
เพื่อเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่มณฑลซีฉวนประเทศจีน

ฮิโรชิมา,ญี่ปุ่น--- มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และ มาสด้า มอเตอร์ ประเทศจีน แถลงการณ์ว่า มาสด้าและบริษัทร่วมทุนของมาสด้าในประเทศจีน ร่วมกันบริจาคเงินจำนวน 2.5 ล้านหยวน หรือประมาณ 9.7ล้านบาทเมื่อเทียบเป็นเงินบาทของไทย ผ่านองค์กรช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ สภากาชาดจีน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุการณ์แผ่นดินไหว จังหวัดซีฉวนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา

สำหรับงบประมาณในการช่วยเหลือครั้งนี้มาจาก บริษัท มาสด้า มอเตอร์คอร์ปอเรชั่น 1 ล้านหยวน หรือประมาณ 3.9 ล้านบาท และอีก 1.5 ล้านหยวน หรือราว 5.8 ล้านบาท มาจาก มาสด้าประเทศจีนร่วมกับบริษัทที่ร่วมทุน และบริษัทในเครือของบริษัท ฟอร์ด-มาสด้า ฉางอันออโตโมบิล จำกัด

GM ดีเด่น 8 ปีซ้อน


จีเอ็มรับรางวัลสถานประกอบการดีเด่น 8 ปีซ้อน

กรุงเทพ ฯ – จีเอ็มและเชฟโรเลต คว้ารางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานระดับประเทศสำหรับองค์กรที่มีลูกจ้าง 500 คนขึ้นไปติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ในงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ซึ่งจัดโดย"สัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติครั้งที่ 22 ซึ่งจัดโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน" เมื่อเร็ว ๆ นี้

บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้เล็งเห็นความสำคัญของสวัสดิภาพของพนักงานนับตั้งแต่ดำเนินกิจการในประเทศไทยปี 2536 และเมื่อก่อตั้งศูนย์การผลิตรถยนต์ภายในนิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์น ซีบอร์ด ในปลายปี 2539 บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างชัดเจนกระทั่งได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 (พ.ศ.2544 - 2551)

ทั้งนี้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์เชฟโรเลตและแบรนด์ต่าง ๆ ของจีเอ็ม จำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกทั่วโลกกว่า 130 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้กำหนดนโยบายในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยได้มาตรฐานสากลของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญของสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ “3 ป – ปลอดภัย” ได้แก่ ปลุกสำนึกอันตราย ประเมินความเสี่ยง และปรับปรุงให้ปลอดภัย

บริษัทฯ เจตนาให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม รวมทั้งจัดสรรสวัสดิการที่ดีสำหรับพนักงานของจีเอ็มกว่า 3,000 คน อาทิ ศูนย์พยาบาลได้มาตรฐาน พร้อมแพทย์และพยาบาลประจำการ มีการตรวจสุขภาพประจำปี การให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ พร้อมนักจิตวิทยา สถานออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ทันสมัยและนักกายภาพบำบัด ภายในสถานประกอบการยังจัดสรรพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก พื้นที่สันทนาการ ตลอดจนสนามกีฬา ห้องสมุด และโรงอาหารที่ให้บริการอาหารกลางวันฟรี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดหาเจ้าหน้าที่สื่อสารภายในที่คอยรับเรื่องร้องเรียนและให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แก่พนักงาน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างพนักงานกับผู้บริหารของบริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข บริษัทฯ เชื่อว่า คุณภาพรถยนต์ที่ดีของบริษัทฯ เกิดจากระบบการผลิตที่เป็นเลิศ ผสานกับคุณภาพของพนักงานที่มีความสุข สุขทั้งร่างกาย และจิตใจ

ด้วยการเน้นย้ำนโยบายด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ ศูนย์การผลิตรถยนต์ภายในนิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้รับรางวัลสำหรับผู้นำการผลิตประจำภูมิภาคที่สามารถสร้างสถิติการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย โดยปราศจากอุบัติเหตุจนถึงขั้นหยุดงานอีกด้วย

15 พ.ค. 2551

เชฟโรเลต อาวีโอ Hatchback เตรียมในทวีปยุโรปเดือนมิถุนายนปีนี้





อาวีโอ 3 ประตู เชฟโรเลต รุ่นแรกที่ผลิตในยุโรป
ปูพรมกลางปี 2008 นี้

เชฟโรเลต อาวีโอ รถยนต์ขนาดกะทัดรัดสำหรับคนเมือง ที่คุ้นตาผู้ใช้รถยนต์ในเมืองไทยในรูปโฉมของรถยนต์ซีดานขนาดเล็กแบบ 4 ประตู แต่ในช่วงเดือนมิถุนายน กลางปี 2008 นี้ เชฟโรเลต อาวีโอ โฉมใหม่ ที่มาในรูปลักษณ์ของรถยนต์แฮชท์แบ็ค (Hatchback) 3 ประตู ทรงสปอร์ต ที่ผลิตขึ้นและเตรียมวางจำหน่ายในทวีปยุโรป โดยมีให้เลือกใช้งานใน 2 ขนาดของเครื่องยนต์ คือ 1.2 ลิตร 84 แรงม้า และ 1.4 ลิตร 101 แรงม้า

อาวีโอ 3 ประตู ทรงสปอร์ต เผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โฉมด้านหน้ายังคงเอกลักษณ์ของเชฟโรเลตด้วยกระจังหน้าแนวขวางขนาดใหญ่ มีแถบคาดแบ่งกระจังหน้าพร้อมสัญลักษณ์โบว์ไท ซึ่งแถบคาดแบ่งกระจังหน้าเป็น 2 ชั้น ของอาวีโอ 3 ประตู ถูกออกแบบให้เป็นสีเดียวกันกับตัวรถ เพื่อให้มีความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น

กรอบไฟหน้ายังคล้ายกับรูปแบบเดิม แต่เพิ่มขนาดและดีไซน์แบบใหม่ที่ทำให้ดูดุดันมากขึ้น ชายล่างกันชนยังถูกออกแบบให้เป็นแผงรังผึ้งแบบสปอร์ตพร้อมฝังไฟตัดหมอกทรงกลมเสริมความสปอร์ต

ด้านข้างตัวรถ เป็นข้อได้เปรียบของรถแบบแฮทช์แบ็ค 3 ประตู ที่จะมีบานประตูขนาดใหญ่ให้เข้า-ออก ได้สะดวกสบาย อีกทั้งยังมีการตกแต่งด้วยเส้นสายที่ลากจากท้ายรถมาถึงบานประตูหน้า เสริมให้ตัวรถดูมิติมากยิ่งขึ้น โดยแถบเส้นด้านข้างประตูถูกออกแบบมาให้รับกับคิ้วข้างประตูขนาดใหญ่

ส่วนท้ายรถโดดเด่นด้วยกรอบไฟท้ายแนวตั้งขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์เชฟโรเลต กระจกบังลมหลังยังซ่อนไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมก้านปัดน้ำฝนด้านหลัง กันชนท้ายถูกออกแบบด้วยแถบคาดลายรังผึ้ง ให้ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ของอาวีโอ 3 ประตู ทั้งในรุ่น 1.2 ลิตร และ 1.4 ลิตร เป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ให้ความประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น และลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียลงมากถึง 10% ขณะที่เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ได้รับการพัฒนาเพิ่มกำลังให้สูงขึ้นเป็น 101 แรงม้า

ตัวถังและโครงแชสซีส์ยังมีความแข็งแกร่ง จากการประสานกันของโครงสร้างแบบ Rigid Body และ True-to-Line Chassis ที่มีความยาวตัวถังทั้งหมดเพียง 3.92 เมตร ซึ่งทำให้ อาวีโอ 3 ประตู มีความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ด้วยรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5 เมตร


นอกจากนี้ อาวีโอ 3 ประตู นับเป็นรถยนต์เชฟโรเลตรุ่นแรกที่ได้รับการผลิตขึ้นในทวีปยุโรป โดยเริ่มขั้นตอนการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2007 ก่อนที่จะนำมาเผยโฉมในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ และกำลังจะวางจำหน่ายในทวีปยุโรปเดือนมิถุนายนปีนี้

MAZDA ซ่าที่ชายแดน










มาสด้า บีที-50 ซ่าสุด ๆ 
เบียดคู่แข่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันสนามแรก
กรุงเทพ – ประเทศไทย – 13 พฤษภาคม 2551 - มาสด้า บีที-50 ประกาดศักดาความรถสปอร์ต ปิคอัพ หนึ่งเดียวในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ในรายการ Super Commonrail 2500 ซีซี. ด้วยการคว้าชัยชนะอันดับที่ 4 มาครองแบบประทับใจคนดูทั่วสนาม พร้อมตอกย้ำความเป็นยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตด้วยการส่งรถสปอร์ต Mazda RX-7 เครื่องยนต์โรตารี เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้าร่วมประลองสู้ศึกในรุ่น Super Car ที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้ชื่นชอบและรักกีฬามอเตอร์สปอร์ต ในนามทีม "MAZDA TEAM" ซึ่งขับขี่โดย คุณธนภณ ทองเจือ หรือ พีท ทองเจือ ดารานักแข่งชื่อดัง สร้างความคึกคัก ความประทับใจ แรงเชียร์ และเสียงปรบมือจากแฟนมอเตอรืสปอร์ต กึกก้องไปทั่วทั้งสนาม
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การยอมรับของลูกค้าและผู้จำหน่ายในเรื่องสมรรถนะของรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 เครื่องยนต์คอมมอนเรล นับว่าไม่เป็นสองรองใคร จากผลงานการแข่งขันในปีที่แล้วนับว่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นมากสำหรับทีมที่เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันเป็นปีแรก เพราะทีมของมาสด้าสามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยมาครองได้สำเร็จ ในปี 2008 นี้มาสด้าจึงตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยกับการเปิดตัวทีมแข่งขันรถยนต์ทั้งประเภทครอสครันทรีและทางเรียบกับสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 พลังแรงแห่งยุค นั่นคือทีม "MAZDA TEAM" นับเป็นความร่วมแรงร่วมใจอย่างดียิ่งระหว่างมาสด้ากับทีมแข่งของคุณธนพล ทองเจือ หรือที่รู้จักกันในนาม พีท ทองเจือ ที่สามารถสร้างทีมแข่งขันที่แข็งแกร่งเพื่อลงชิงชัยในสนามการแข่งขันทั้งทางเรียบและครอสคันทรี "
นายธนภณ ทองเจือ หรือ พีท ทองเจือ นักขับมือดีจาก "Mazda Team" กล่าวว่า สนามนี้รถมาสด้าของเราค่อนข้างสมบูรณ์มาก และสนามแข่งขันก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย นักขับทุกท่านล้วนเป็นยอดฝีมือกันทั้งนั้น ผลการแข่งขันอันดับที่ 4 ที่ออกมาถือว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นครั้งแรกในการขับมาสด้า บีที-50 คันนี้ และที่สำคัญสุดทุกคนรู้จักรถปิคอัพมาสด้า มาสด้า คือรถสปอร์ต และรถปิคอัพมาสด้า บีที-50 คันนี้ก็ไม่เป็นสองรองใคร นอกจากนี้ในการแข่งขันรุ่น Super Car เป็นครั้งแรกที่มาสด้านำเอา Mazda RX-7 เครื่องยนต์โรตารี่ ที่ได้รับการปรับแต่งพิเศษเข้าร่วมชิงชัยในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างดีมาก นอกจากนี้ผมยังมีรายการแข่งขัน ครอสคันทรี ซึ่งปีนี้เป็นการลงเพื่อป้องกันแชมป์ประเทศไทย หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมามาสด้าคว้าชัยชนะทั้งประเภท TB1 และ TB 2 ยังไงผมขอฝากช่วยเชียร์ทีมมาสด้าด้วยครับ
การแข่งขันในวันเสาร์ซึ่งเป็นสนามที่แรก ของรุ่นซูเปอร์ คอมมอนเรล ซึ่งปีนี้มีรถเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก มาสด้าออกสตาร์ทในตำแหน่งที่ 7 หลังจากออกสตาร์ทผ่านไปเพียงรอบเดียวมาสด้าบีที-50 ก็ไล่แซงคันแล้วคันเล่าจนมาอยู่ที่อันดับที่ 4 ก่อนที่จะพุ่งเข้าเส้นชัยอย่างสง่างาม พร้อมกับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องไปทั่วสนาม ส่วนรุ่นเดียวกันในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นสนามที่ 2 มาสด้าออกสตาร์ทในตำแหน่งที่ 12 และนี้เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมาสด้า บีที-50 ตัวนี้จะสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้หรือเปล่า หลังจากออกสตาร์ทมาสด้ายังเกาะกลุ่มออกจากเส้นผ่านโค้งแรกมาสด้าขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์ เพียงรอบที่ 3 เท่านั้นมาสด้า บีที-50 ก็ขยับอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 3 ไล่บี้กับอันดับ 1 และ 2 อย่างสนุกสนาน พร้อมกับเสียงเชียร์รอบสนาม ผ่านไปอีกหลายรอบพีท ทองเจือ พยายามไล่บี้แบบติดๆ หาจังหวะแซงขึ้นหน้าตลอด สุดท้ายโชคไม่ดีมีควันออกจากห้องเครื่องต้องจอดรถในรอบที่ 8 แต่ด้วยสปิริตของนักแข่งมืออาชีพ พีท ออกมาขับเจ้า บีที-50 ต่อจนจบการแข่งขัน
สำหรับรถที่ใช้ทำการแข่งขันในปีนี้มาสด้าได้เตรียม ลงทำการแข่งขันทั้งประเภททางเรียบ และประเภทครอสคันทรี และพิเศษก็คือมาสด้าได้นำเอารถสปอร์ตเครื่องยนต์โรตารี เอกสิทธิ์เฉพาะของมาสด้า นั่นคือ Mazda RX-7 ลงทำการแข่งขันในประเภท Super Car ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทีมงานของ พีท ทองเจือ ในการตกแต่งพิเศษเพิ่มเติม ในส่วนของประเภท Super Commonrail ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมาสด้า ซึ่งเราส่งลงทำการแข่งขันเป็นปีที่สอง ภายใต้ชื่อทีม "Mazda Team" โดยเรานำเอารถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 เครื่องยนต์คอมมอนเรล 2500 ซีซี. ลงทำการแข่งขัน และในครั้งนี้มาสด้า บีที-50 ก็ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง
นอกจากนี้แล้วมาสด้ายังส่งรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 เครื่องยนต์คอมมอนเรล 3000 ซีซี ให้แรงม้าสูงถึง 156 แรงม้า ที่ 3200 รอบ/นาที และให้แรงบิดมหาศาล 380 นิวตัน-เมตร/นาที สำหรับลงทำการแข่งขันในรายการ Thailand Cross Country 4x4 Championship 2008 อีกเช่นกัน ซึ่งจากความสำเร็จของทีมมาสด้าในปีที่ผ่านมานับเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เราสามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยมาครองได้เป็นผลสำเร็จ และเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งสำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย
และนี่คือหนึ่งในหลาย ๆ กิจกรรมการตลาดของมาสด้าในปีนี้ เพื่อนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้ลูกค้ามาสด้าได้ร่วมสัมผัสความรู้สึก ซูม- ซูม กับเราตลอดไป
ผลการแข่งขันรุ่น Super Commonrail 2500 cc.
1. จรัส แจ้งกมลกุลชัย หมายเลข 29 สังกัดทีมเชฟวี่มอเตอร์สปอร์ต-พีคเพาเวอร์ช็อฟ
2. ทนงศักดิ์ กรศิริสืบสกุล หมายเลข 92 สังกัดทีมเชฟวี่มอเตอร์สปอร์ต-พีคเพาเวอร์ช็อฟ
3. ขจรศักดิ์ ณ สงขลา หมายเลข 3 สังกัดทีม PTT Dynamic – อู่หนุ่มทีม
4. ธนพล ทอเจือ หมายเลข 72 สังกัดทีมมาสด้า
5. มร.ไมเคิล ฟรีแมน หมายเลข 100 ไม่สังกัดทีม