29 ส.ค. 2551

The new Mercedes-Benz CLC่













The new Mercedes-Benz CLC

สปอร์ตคูเป้ใหม่

สวยสะกดใจ นักขับรุ่นใหม่หัวใจสปอร์ต

   
กรุงเทพฯ — เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉมยนตรกรรมรุ่นล่าสุดในตระกูล C-Class Sports Coupé ภายใต้ชื่อใหม่ว่า Mercedes-Benz CLC-Class โดยรุ่นที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้นจะเป็นรุ่น CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ซึ่งให้ความหรูหราทันสมัย มีความโดดเด่นและลงตัวทั้งด้านการออกแบบที่เน้นความรู้สึกโฉบเฉี่ยวมากขึ้น เพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดแต่งสปอร์ตแพ็คเกจ ตั้งแต่หัวจรดท้าย ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ และเครื่องยนต์อันทรงพลัง 

รูปลักษณ์ภายนอกของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ได้ถูกออกแบบใหม่ให้มีความสวยงาม เฉียบคมและปราดเปรียวขึ้น เพิ่มลายเส้นที่ให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเน้นความสปอร์ตลงตัวทั้งเรื่องของเทคโนโลยี และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้ขับขี่โดยเฉพาะกลุ่มของคนหนุ่มที่มองหายนตรกรรมที่ดูปราดเปรียวและขับสนุกขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยสูงและความสะดวกสบาย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการทำงานของระบบต่างๆที่ผู้ขับขี่มั่นใจได้ ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่สำคัญของรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์  

เมื่อเปรียบเทียบกับสปอร์ตคูเป้รุ่นที่แล้ว ทางวิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีการปรับปรุง และเพิ่มเติมชิ้นส่วนต่างๆ ของ CLC มากกว่า 1,100 ชิ้น สำหรับจุดเด่นๆ ของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ที่ทางวิศวกรได้ทำการปรับปรุงนั้นรวมถึงระบบ Direct-steer System ด้วยตัวถังที่แข็งแกร่ง และลายเส้นที่โค้งนูนด้านข้างทำให้ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé มีความโดดเด่นสะท้อนความรู้สึกสปอร์ตได้อย่างชัดเจน ทีมออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ทำการออกแบบให้ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé มีรูปลักษณ์ที่ใหม่หมดจดตั้งแต่หัวจรดท้าย สะดุดตาด้วยกระจังหน้าสัญลักษณ์รูปดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กระจกมองข้างดีไซน์โฉบเฉี่ยวพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED และโคมไฟหน้าไบ-ซีนอน (Bi-xenon) ในกรอบสีดำ พร้อมระบบเพิ่มการส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยเมื่อขับขี่ในเวลากลางคืนอีก 30 เมตร ส่วนหลังคาเป็นซันรูฟแบบกระจก (Panoramic Sliding Sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งทั้งหมดผสานเข้าอย่างลงตัวสมกับความเป็นยนตรกรรมสองประตูที่โดดเด่น และเข้ากับยุคสมัย

ในส่วนของไฟท้ายของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé นั้นก็ได้รับการออกแบบใหม่เป็นแบบโคมดำ (dark meander design) เพิ่มความดุดันสไตล์สปอร์ต พร้อมไฟ LED เรียงกันเป็นแถบยาวทำหน้าที่เป็นไฟเบรคดวงที่สาม นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากถึง 1,100 ลิตร เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 1/3:2/3 เพื่อเปลี่ยนรูปแบบของพื้นเก็บสัมภาระได้ตามต้องการ กันชนท้ายที่ออกแบบพิเศษทำให้ส่วนท้ายดูกว้างขึ้น พร้อมปลายท่อไอเสียรูปวงรี

ภายในของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé นั้น
เป็นการออกแบบที่พิเศษเฉพาะแต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายในการขับขี่ เบาะที่นั่งแบบสปอร์ต ออกแบบให้ถูกต้องตามหลักตามสรีรศาสตร์ทำจากหนัง ARTICO คุณภาพเยี่ยมสไตล์ทูโทน(เทา-ดำ) พร้อมรูระบายอากาศ โอบกระชับกับร่างกายของผู้ขับขี่ พวงมาลัยหุ้มหนังแบบสามก้านปรับน้ำหนักแปรผันตามความเร็วรถพร้อมระบบควบคุมแบบมัลติฟังก์ชั่น ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และตกแต่งด้วยลวดลายอลูมินั่ม คันเกียร์หุ้มด้วยหนังส่วนหัวเกียร์ตกแต่งสไตล์อลูมิเนียม คันเร่งและแป้นเบรคแบบสปอร์ตผลิดจากสแตนเลส ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน 

CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé มาพร้อมกับระบบความคุม Direct-steer System และล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว 

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้นำเอาชุดตกแต่งสปอร์ตแพ็คเกจสำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบความเป็นสปอร์ต และอุปกรณ์เสริม เช่น ล้ออัลลอยด์แบบ 5 ก้านคู่ขนาด 17 นิ้ว และแผ่นรับแรงกระแทกใต้ท้องรถ พวงมาลัยสปอร์ตหุ้มหนังเสริมลวดลายลายอะลูมินั่ม CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé สปอร์ตแพ็คเกจ ยังมีความพิเศษ ตรงที่มาตรวัดต่างๆ ได้ออกแบบให้มีระบบการทำงานคล้ายคลึงกับที่ใช้อยู่ในรถแข่ง อาทิ เมื่อเครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน เข็มที่มาตรวัดความเร็ว และมาตรวัดรอบซึ่งมีสีแดง จะอยู่ในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ทันทีที่สตาร์ทเครื่องยนต์เข็มของมาตรวัดทั้งสองจะหมุดกวาดมาตรวัด 1 รอบ ก่อนกลับไปยังค่าเริ่มต้น

อุปกรณ์มาตรฐานที่โดดเด่นของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ได้แก่ ระบบ บังคับเลี้ยวแบบ Direct-steer System ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่พวงมาลัยจะปรับการทำงานแปรผันตามความเร็วของรถกล่าวคือในความเร็วต่ำพวงมาลัยก็จะเบา หมุนแบบสบายมือ ส่วนในความเร็วสูง พวงมาลัยก็หนักขึ้นมั่นคงขึ้น และยังปรับอัตราการทดเกียร์ตามการหมุนของพวงมาลัยด้วย ทำให้มีการตอบสนองเร็วและแม่นยำขึ้น ส่งผลให้การขับขี่เป็นไปแบบสนุก มั่นคงและฉับไวมากขึ้นแม้ยามเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ระบบ Direct-steer System ยังเพิ่มขีดความปลอดภัยในการขับขี่ จากการทดสอบโดยทีมวิศวกรของเมอร์เซเดส เบนซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการควบคุมรถได้ดีขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน 
 
เครื่องยนต์ที่ให้อัตราการสิ้นเปลืองลดลงจากเดิมถึง 10.8 เปอร์เซ็นต์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จับเอาขุมพลังเบนซินแบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว 1.8 ลิตรพร้อมคอมเพรสเซอร์ที่ให้พลกำลังมากถึง 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที ที่ให้แรงบิดสูงถึง 250 นิวตันเมตร ที่ 2,800-5,000 รอบ/นาที มาใส่ไว้ใน CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวยังได้รับการพัฒนาให้มีกำลังมากขึ้นจากเดิมอีก 15 กิโลวัตต์ /21 แรงม้า และเพิ่มแรงบิดขึ้นอีก 10 นิวตันเมตร แต่ประหยัดขึ้นจากเดิม 0.7 ลิตร/กม. โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 231 กม./ชม. และให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.7 วินาที

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้นำเอาระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (One-touch Shift) มาทำหน้าที่ในการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ดังกล่าว และด้วยสปอร์ต แพ็คเก็จ ผู้ขับขี่สามารถจะควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองโดยใช้ ระบบ (Steering-wheel Gearshift Paddles) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณพวงมาลัย ซึ่งจะความรู้สึกสนุกและเร้าใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ยังได้รับการติดตั้งจอโมโนโครม พร้อมเครื่องเล่นวิทยุและซีดีแบบ 2 DIN MB Audio 20 ที่สามารถแสดงผลการทำงานและคำสั่งต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อีกด้วย 

สิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกและได้รับความปลอดภัยสูงสุดเมื่ออยู่ภายในห้องโดยสารของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ใหม่ก็คือถุงลมนิรภัยที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสารมากถึง 8 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติแบบ 3 จุด 4 ที่นั่ง (seatbelt tensioners and belt force limiters) ระบบช่วยเบรค BAS (Brake Assist) ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวรถ
 
ทางด้านประธานบริหารของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มร.โวล์ฟกัง ฮุบเพ็น บาวเออร์ ได้เปิดเผยถึงการนำเอา CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé เข้ามาทำตลาดในประทศไทยว่า “CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé เป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมในอนุกรมสปอร์ต คูเป้ ที่จะได้รับการกล่าวขานและครองใจคนรุ่นใหม่ (young generation)มากที่สุด ด้วยรูปลักษณ์ใหม่แบบสปอร์ตและเทคโนโลยีอันล้ำสมัย CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดเมืองไทย และนำความสำเร็จมาสู่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ดังเช่นที่เคยสร้างชื่อเสียงจนสามารถพิชิตใจผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบรถยนต์ในสไตล์สปอร์ตมาแล้วกว่า 320,000 คนทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2001” 

“ยนตรกรรมในอนุกรมสปอร์ต คูเป้ เป็นหนึ่งในอนุกรมที่ได้รับความสำเร็จมากที่สุดในเรื่องของกลยุทธ์และความคิดริเริ่ม ในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคำนึงถึงเสมอมา”

ทั้งนี้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้กำหนดราคาจำหน่ายของ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé อยู่ที่ 3,609,000 บาท ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

27 ส.ค. 2551

Volvo_City Safety




Volvo_City Safety
ครั้งแรกของโลกที่รถยนต์ของคุณหยุดได้เอง


อุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภายในตัวเมืองทุกวันนี้ คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปมากกว่า 1.2 ล้านคน และยังทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านคนในแต่ละปี ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีด้วย จนทำให้อุบัติเหตุบนถนนกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน หน่วยวิจัยและพัฒนาของรถยนต์แบรนด์ต่างๆ จึงพยายามค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุในตัวเมืองให้น้อยลง

หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่เรากำลังกล่าวถึงก็คือ วอลโว่ ซึ่งนอกจากจะประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างสภาวะไร้อุบัติเหตุ (Collision-free Environment) อย่างมุ่งมั่นว่า ภายในปีค.ศ.2020 จะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในรถยนต์วอลโว่อีกต่อไป ล่าสุดวอลโว่ยังคิดค้นและพัฒนาระบบที่เรียกว่า “City Safety” ขึ้นเป็นผลสำเร็จ จนคว้ารางวัลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในสองภูมิภาคไปเมื่อเร็วๆ นี้

ระบบ “City Safety” ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์วอลโว่ XC60 เป็นรุ่นแรก ได้รับรางวัล “Traffic Safety Achievement Award” ในงานนิวยอร์ก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โชว์ และเพิ่งคว้ารางวัลด้านเทคโนโลยีที่งาน “Fleet World Honour Awards 2008” ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไปเมื่อไม่นานมานี้ วอลโว่คิดค้นเทคโนโลยี City Safety ขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในเมืองโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบจะทำงานโดยคอยช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความรุนแรงของการชนที่ระดับความเร็วต่ำ

ที่ความเร็วต่ำกว่า 19 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบ City Safety จะใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจจับรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้าไม่เกิน 10 เมตรนับจากกันชนหน้าของรถ และแสดงปฏิกิริยาตอบกลับว่ารถหยุดนิ่งหรือลดความเร็วลง หากช่องว่างระหว่างรถทั้งสองคันขยับเข้ามาน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่ผู้ขับขี่มิได้กระทำการใดๆ เบรกจะทำงานเองโดยอัตโนมัติ ระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าเช่นนี้เองที่ทำให้วอลโว่ประกาศอย่างมุ่งมั่นว่ากำลังผลิต “รถยนต์คันแรกที่หยุดรถได้เอง”

ทั้งนี้ ที่ระดับความเร็วไม่เกิน 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พูดได้ว่าระบบ City Safety สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ความเร็วระหว่าง 17-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดความเร็วของรถลง ทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของผู้โดยสารและความเสียหายของรถได้มากขึ้นอีก

สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้แบรนด์รถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเรื่องการมอบความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ขับขี่ตลอด 80 ปีที่ผ่านมาอย่างวอลโว่ คิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุในเมืองขึ้นก็เพราะ ผลการสำรวจเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนที่วอลโว่ทำขึ้นนั้นบ่งชี้ว่า ร้อยละ 75 ของอุบัติเหตุที่ได้รับรายงาน ล้วนเกิดขึ้นที่ความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และร้อยละ 50 ของทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะผู้ขับขี่ไม่ได้เหยียบเบรกก่อนที่จะเกิดเหตุ เนื่องจากมีสิ่งรบกวนทำให้เสียสมาธิ อุบัติเหตุบนสภาพการจราจรภายในตัวเมืองจึงเกิดขึ้นได้ง่าย การคิดค้นระบบ City Safety ขึ้น จึงน่าจะมีส่วนช่วยผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้มากทีเดียว

ขณะเดียวกัน นอกจากการช่วยลดความเสี่ยงทั้งในเรื่องการบาดเจ็บของผู้โดยสาร รวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถแล้ว ระบบ City Safety ยังอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องเบี้ยประกันภัยได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะล่าสุด ทางวอลโว่ คาร์ สหราชอาณาจักร ยังได้นำระบบนี้ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ให้บริการประกันภัย เพื่อลดเบี้ยประกันให้กับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบนี้แล้ว

สำหรับเมืองไทย คาดว่าอดใจรออีกไม่นาน คงได้เห็นระบบนี้ติดตั้งในรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่ๆ ในไม่ช้าแน่นอน!!

ข้อมูลทั่วไป:
• วอลโว่ คาร์ คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทในเครือ ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโกเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน
• วอลโว่ คาร์ คอร์ปอเรชั่น เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2505 โดยเริ่มต้นจากการจำหน่ายผ่านบริษัทผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายอิสระ จากนั้นจึงจัดตั้งเป็นบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี 2514 ดูแลการจัดจำหน่ายทั่วประเทศ และได้เข้าบริหารการจัดจำหน่ายแทนบริษัท เอสเอ็มซี มอเตอร์ส ตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบัน วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) มีพนักงานจำนวน 33 คน
• วอลโว่จัดตั้งบริษัท ไทย-สวีดิช แอสเซ็มบลี จำกัด (ทีเอสเอ) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของตนเองภายในประเทศตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งผลิตรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกหลากหลายรุ่นอาทิ วอลโว่ XC90, วอลโว่ All-New S80, วอลโว่ S60 และ วอลโว่ V70 ปัจจุบัน ทีเอสเอมีพนักงานจำนวนกว่า 300 คน วอลโว่ คาร์ยังนำเข้า วอลโว่ All-new C70 สปอร์ตคูเป้/คอนเวอร์ทิเบิล รวมถึงวอลโว่ C30 คูเป้มาจำหน่ายในประเทศไทยอีกด้วย
• ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่อย่างเป็นทางการโดยได้รับอนุญาต มีทั้งหมด 8 บริษัท ซึ่งดูแลโชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ 12 โชว์รูม แบ่งเป็นโชว์รูมในกรุงเทพฯจำนวน 6 โชว์รูม และโชว์รูมในต่างจังหวัดจำนวน 6 โชว์รูม ได้แก่ เวิร์นส์ มอเตอร์ส (สาขาหัวหมากและลาดพร้าว) เอสเอ็มซี มอเตอร์ส (สาขาสุขุมวิท 22 และ สีลม) โกเทนเบิร์ก ออโตโมบิลส์ (ศรีนครินทร์) สแกนดิเนเวียน ออโต้ (รามอินทรา) และสาขาอื่นๆ ในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่สวีเดน มอเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่, ขอนแก่นเจริญศรี จังหวัดขอนแก่น, นครปฐม มอเตอร์ส จังหวัดนครปฐม, เอสเอ็มซี มอเตอร์ส จังหวัดชลบุรี, หาดใหญ่ ออโต้ จังหวัดสงขลา และโชว์รูมใหม่ที่กำลังจะเปิดดำเนินการในจังหวัดภูเก็ต
• รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของวอลโว่ คาร์ สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.volvocars.co.th หรือติดต่อได้ที่โชว์รูมของวอลโว่ใกล้บ้านคุณ
• สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบไฟล์วิดิทัศน์ สามารถลงทะเบียนและเรียกดูได้ที่เว็บไซต์ www.media.volvocars.com คลิกที่ ‘Broadcast Room’ เพื่อเลือกชมและเลือกดูไฟล์ เมื่อลงทะเบียนแล้ว คุณสามารถเรียกดูข้อมูลมาตรฐานในรูปแบบไฟล์วีดิโอทั้งทางดิจิตอลในเว็บไซต์ และทางเทป ทั้งนี้ สื่อมวลชนสามารถลงทะเบียนและเรียกดูไฟล์วีดิโอได้ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

MAZDA MX-5 คว้ารางวัล



MAZDA MX-5 คว้ารางวัล

“รถเปิดประทุนยอดเยี่ยม” ประจำปี 2008

ฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น, 27 สิงหาคม 2551ประสบการณ์แห่งความ ซูม-ซูม ของรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้ายังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มาสด้า MX-5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนที่ขายดีที่สุดในโลก ได้สร้างตำนานบทใหม่ ด้วยการคว้ารางวัล "Auto Express New Car Honours" จากประเทศอังกฤษ ประจำปี 2008 จากนิตยสาร Auto Express มาครองได้อีกครั้ง

คณะกรรมการตัดสินของ Auto Express ซึ่งเป็นนิตยสารรถยนต์รายสัปดาห์ที่ขายดีที่สุดในประเทศอังกฤษ ได้มอบรางวัล รถเปิดประทุนยอดเยี่ยมให้กับรถยนต์มาสด้า MX-5 ในรุ่นโรดสเตอร์คูเป้แบบขับเคลื่อนล้อหลัง 2 ที่นั่ง ซึ่งนับว่า MX-5 ได้รับรางวัลสูงสุดจากนิตยสารฉบับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

นิตยสาร Auto Express ให้ความเห็นชื่นชมรถมาสด้า MX-5 รุ่นโรดสเตอร์คูเป้ว่า สปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลกรุ่นนี้ มีความโดดเด่นน่าสนใจยิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา อย่างล่าสุด มาสด้า MX-5 RC ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ยังคงไว้ซึ่งความเร้าใจของรถยนต์รุ่นนี้ไว้อย่างครบถ้วน และยังเพิ่มประโยชน์ใช้สอยอย่างหลังคาแบบฮาร์ดท็อปที่เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลกเพียง 12 วินาที ซึ่งถูกอกถูกใจแฟนๆ รถเปิดประทุนชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก เพราะให้ความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับการขับขี่ในช่วงฤดูร้อน

มาสด้า MX-5 โรดสเตอร์เจเนอเรชั่นที่ 3 รุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ทันทีที่เริ่มเปิดตัวในอังกฤษเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 หลังจากนั้น รุ่นโรดสเตอร์คูเป้ ซึ่งเป็นรถยนต์เปิดประทุนหลังคาฮาร์ดท็อปไฟฟ้าที่เปิด-ปิด ได้เร็วที่สุดในโลก ภายในเวลาเพียง 12 วินาที ก็ออกวางจำหน่ายตามมาในเดือนกันยายน 2549

มร. ร็อบ ลินด์ลีย์ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า สหราชอาณาจักร กล่าวในงานมอบรางวัลที่จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน ว่า มาสด้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่นิตยสารยานยนต์ชั้นนำระดับสูง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่าง Auto Express ให้การการันตีว่ารถยนต์มาสด้าเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีคุณภาพดีที่สุดในท้องตลาด

ในฐานะที่เป็นแบรนด์รถสปอร์ตยอดนิยมในประเทศอังกฤษ มาสด้าภูมิใจมากที่มาสด้า MX-5 สามารถคว้าตำแหน่งรถสปอร์ตที่มียอดขายสูงสุด ส่วนมาสด้า RX-8 เครื่องยนต์โรตารี่ เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ก็สามารถคว้าส่วนแบ่งการตลาดได้สูงถึง 20% ทั้งนี้ทีมออกแบบและวิศวกรของเราต่างมีจุดประสงค์ที่จะใส่หัวใจความเป็นรถสปอร์ตเข้าไปในรถทุกคันที่เราผลิต เพื่อให้ความสนุกสนาน และตอบสนองการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม นอกจากรถสปอร์ตแล้ว รถมาสด้าในเซ็กเม้นต์อื่นๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น มาสด้า6 ใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมเกินคาด และมาสด้า2 ซูเปอร์มินิ ใหม่ แบบ 3 ประตู ซึ่งมีน้ำหนักที่เบากว่ารุ่นเดิมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ก็เพิ่งได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก หรือ World Car of the Year 2008 อันทรงเกียรติด้วย"

รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา

เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแรง และรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค บางนา และที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 90 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408


21 ส.ค. 2551

Driving Skills for Life โดย Ford




Driving Skills for Life

ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย

โครงการขับขี่ประหยัดปลอดภัยระดับโลกจากฟอร์ด ประเทศไทย
ส่งเสริมทักษะผู้ใช้รถทั่วประเทศในการขับขี่อย่างปลอดภัยและช่วยประหยัดเชื้อเพลิง
 
กรุงเทพฯ 20 สิงหาคม 2551 -- ฟอร์ด ประเทศไทยจัดโครงการเพื่อสังคม “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” เปิดการอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัยแก่ผู้สนใจทั่วประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย (AIPF) และบริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด
 (จส.100) โดยมีฟอร์ดแบรนด์แอมบาสเดอร์ “อมิตา ทาทา ยัง” ซูเปอร์สตาร์สาว ร่วมรณรงค์ให้ผู้ใช้รถขับขี่อย่างมีความรับผิดชอบ และเรียนรู้วิธีขับประหยัดน้ำมันด้วยการปรับอุปนิสัยการขับขี่ให้ถูกต้อง

โครงการ Driving Skills for Life การขับขี่อย่างฉลาด ประหยัด ปลอดภัย เป็นการอบรมทั้งภาคทฤษฏีและการฝึกภาคสนาม เพื่อเพิ่มการรับรู้ในเทคนิคการขับขี่อย่างปลอดภัย และวิธีการขับที่จะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฟอร์ดใช้ต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศมาพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ในประเทศไทย โดยผู้เข้าอบรบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น  

ในงานเปิดตัวโครงการดังกล่าว ฟอร์ดได้เชิญสื่อมวลชนมาร่วมกิจกรรมฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัยและประหยัดน้ำมันที่มอเตอร์สปอร์ตแลนด์ เหมือนกับกิจกรรมที่ฟอร์ดจะจัดอบรมให้กับผู้ขับขี่ทั่วไป

การอบรม Driving Skills for Life จะเริ่มเปิดให้ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมรับการอบรมจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ก่อนในเดือนหน้า จากนั้นขยายไปจังหัวดต่างๆ ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี ฉะเชิงเทรา และภาคใต้ โดยคาดว่าจะสามารถให้การอบรมแก่ผู้ขับขี่ประมาณ 600 คนภายในปีนี้ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะเป็นเสมือนกระบอกเสียงในการปลูกจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยและประหยัดน้ำมัน ที่ได้เรียนมาให้เป็นประโยชน์สู่สังคมวงกว้างต่อไป

นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นปัญหาสำคัญมากของประเทศไทย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของฟอร์ด การจัดโครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” ถือเป็นโอกาสดีที่ฟอร์ด และมูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย จะได้ร่วมมือกับจส.100 ในการนำความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องการขับขี่มาถ่ายทอดต่อให้กับผู้ขับขี่ชาวไทยเพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศ”

โครงการ Driving Skills for Life มีวัตถุประสงค์หลักในการลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วภูมิภาค เนื่องจากองค์การอนามัยโลกได้ประมาณการไว้ว่าจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโลกภายในพ.ศ. 2563 โดยจะมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุนี้ถึง 1.2 ล้านคนในแต่ละปี สำหรับประเทศไทยในพ.ศ. 2550 อุบัติเหตุบนท้องถนนคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 12,500 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 79,000 คน

มร. เกรก คราฟท์ ประธานมูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย (AIPF) กล่าวว่า “โครงการส่งเสริมการ
ขับขี่ปลอดภัย Driving Skills for Life มีความสำคัญในการช่วยบรรเทาปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในทวีปเอเชียและแอฟริกา" ทั้งนี้ มูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย เป็นสมาชิกขององค์การความร่วมมือด้านความปลอดภัยบนท้องถนนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Road Safety Collaboration) มีวัตถุประสงค์หลักในการปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้ด้านการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยเพิ่งจัดตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
 
"นับเป็นก้าวสำคัญสู่ทิศทางที่ถูกต้องสำหรับประเทศไทย ที่ผู้คนใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับการอบรมหรือเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้รถอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนรวมทั้งอัตราการบาดเจ็บและตายสูงขึ้น ดังนั้นการฝึกอบรมให้ความรู้ และการปลูกจิตสำนึกการขับขี่อย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้” มร.คราฟท์ กล่าวเพิ่มเติม

ดร. ประไพพัตร โขมพัตร รองผู้อำนวยการ บริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (จส. 100) กล่าวว่า “ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นปัญหาระดับชาติที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันในการแก้ไข ทั้ง ฟอร์ด มูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย และจ.ส.100 ต่างมีความมุ่งมั่นเหมือนกันในการส่งเสริมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ดังนั้น เราจึงยินดีร่วมสนับสนุนโครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” เพราะเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยให้ผู้ใช้รถขับขี่ด้วยความรับผิดชอบมากขึ้น รวมทั้งประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกด้วย เราหวังว่าความพยายามของเราจะช่วยให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ถนนอย่างปลอดภัยอย่างจริงจัง"

 
การเรียนรู้เพื่อการขับขี่ด้วยความรับผิดชอบ
โครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” จะเน้นการสอนให้ผู้เข้ารับการอบรมใส่ใจกับสภาพการจราจรบนถนน เทคนิคการขับขี่อย่างปลอดภัย และวิธีการขับที่จะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  

นายสาโรช กล่าวว่า “เทคนิคในการขับขี่อย่างปลอดภัยนั้น มีหัวใจสำคัญเหมือนกับการขับขี่อย่างประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นั่นคือ การขับรถด้วยความเร็วคงที่ในรอบเครื่องที่เหมาะสม นอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย" 

ในส่วนของการฝึกอบรมการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันนั้นมีหลายเทคนิค ได้แก่ ศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทาง การขับแบบประหยัดน้ำมันต่างๆ หลีกเลี่ยงการออกตัวและเร่งความเร็วอย่างแรง การใช้ความเร็วสูง และการดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ ส่วนทักษะในการขับขี่อย่างปลอดภัยจะเน้นในเรื่องการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกต้อง การมีสมาธิในการขับขี่ต่อการสภาพจราจรและรถบนท้องถนนรอบๆ ตัว อย่าทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น โทรศัพท์ในขณะที่ขับรถ และการเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่ปลอดภัย

ดร. ประไพพัตร กล่าวเสริมว่า “การจุดประกายให้คนหันมาใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัยถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” จะช่วยให้ผู้ขับขี่ใส่ใจกับสภาพการจราจรมากขึ้น และเข้าใจว่าการกระทำของตนนั้นมีความสำคัญมากต่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน”

 “การที่ฟอร์ด หนึ่งในผู้นำด้านความปลอดภัยยานยนต์ระดับโลก ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขับขี่อย่างปลอดภัยอย่างจริงจังถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม โครงการนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเราหวังว่าโครงการนี้จะเป็นการจุดประกายที่กิจกรรมต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ในประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคนี้ ที่กำลังพยายามลดปัญหาอุบัติเหตุจากการขับขี่รถยนต์อย่างจริงจัง” มร.คราฟท์กล่าว

การจัดการอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัยภายใต้โครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นโครงการแรกในเอเชียที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก Ford Global Giving Campaign ซึ่งเป็นแคมเปญของ Ford Motor Company Fund and Community Services 

ผู้ที่สนใจเข้ารับการฝึกอบรม สามารถติดต่อเพื่อสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฟอร์ด คอล เซ็นเตอร์ 02-686-5899 และจ.ส. 100  
# # #
หมายเหตุ
กองทุน Ford Motor Company Fund and Community Services เป็นองค์กรที่อิสระและไม่ได้ขึ้นต่อฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ทั้งนี้ กองทุน Ford Motor Company Fund and Community Services เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม การมอบทุน โครงการอาสาสมัคร และการสนับสนุนความสมานฉันท์ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างในประเทศต่างๆ ที่ฟอร์ดดำเนินธุรกิจอยู่ กองทุนฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2492 จากผลกำไรของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เพื่อสนับสนุนโครงการและสถาบันต่างๆ ที่ทำงานด้านการส่งเสริมการศึกษาในเชิงสร้างสรรค์ ความปลอดภัยด้านยานยนต์ การใช้รถใช้ถนน และการอนุรักษ์วัฒนธรรมอเมริกัน ต่อมาในพ.ศ. 2548 ได้มีการก่อตั้งองค์การอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ของฟอร์ดขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของฟอร์ดในการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อเกิดภัยพิบัติและยากไร้ องค์การอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ของฟอร์ดประกอบด้วยพนักงานประจำ สมาชิกสหภาพแรงงาน พนักงานที่เกษียณอายุแล้ว ตลอดจนครอบครัวของพนักงาน ซึ่งทุกคนจะเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ต่างๆ ที่ฟอร์ดริเริ่มขึ้นเพื่อในชุมชนของตนเอง

มูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย มีพันธกิจหลักที่จะลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย และการรณรงค์เพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และประชนชนทั่วไป มูลนิธิป้องกันการบาดเจ็บแห่งเอเชีย เป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร และเป็นองค์กรของรัฐบาลสหรัฐประเภท US 501 (c) 3 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐถือเป็นองค์กรเพื่อสาธารณกุศล และเป็นสมาชิกขององค์การความร่วมมือด้านความปลอดภัยบนท้องถนนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Road Safety Collaboration) ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.asianinjury.org 

สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ Driving Skills for Life เพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.drivingskillsforlife.com

15 ส.ค. 2551

GM กับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกแห่งอนาคต




จีเอ็ม เปิดตัวแผนกลยุทธ์ ดันไทยและภูมิภาคอาเซียน 
จับมือหน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรอุตาสหกรรม 
รับมือความท้าท้ายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 


กรุงเทพฯ – มร.ริค แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกาศแผนความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนรัฐบาลไทยในการแสวงหาพลังงานทางเลือก และระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีพื้นฐานหลักการที่จะแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานที่ถือว่ามีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือกันหลากหลายด้าน

นอกจาก มร.แวกอเนอร์แล้ว การประกาศแผนการครั้งนี้ ยังมี ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคุณศุภรัตน์ ศิริสุวรรนาคกุล ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เข้าร่วมในงานด้วย  

 “จีเอ็มจะเป็นผู้เชี่อมโยง ผู้อำนวยความสะดวก และสนับสนุนการพัฒนา ร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับประเด็นด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน” มร.แวกอเนอร์ กล่าว

จีเอ็ม ประกาศแผนระยะยาวไว้ 3 ประการ

ศูนย์ความเชี่ยวชาญพลังงานหลากหลายเพื่อยานยนต์
มร.แวกอเนอร์ กล่าวว่า ความคิดริเริ่มประการแรก คือการสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพลังงานยานยนต์ที่มีความหลากหลาย จีเอ็มใช้ทรัพยากรด้านวิศวกรรมต่างๆ ของจีเอ็มทั่วโลก เพื่อนำประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไปสู่เป้าหมายการใช้พลังงานทางเลือกชนิดต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งซีเอ็นจี เอทานอลที่ทำจากเซลลูโลส ไบโอดีเซล และแอลพีจี โดยการทำการวิจัยต่างๆ จะมีการร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล พันธมิตรอุตสาหกรรม และสถาบันนักวิชาการ

แหล่งพลังงานทางเลือกล้ำสมัย

ความคิดริเริ่มประการถัดมา คือ การสร้างพันธมิตรกับ ปตท. เพื่อร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดตลาด และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และประโยชน์จากการเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกในภาคคมนาคม และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย

จีเอ็มและปตท. จะพิจารณาถึงขอบเขตความร่วมมือ ทั้งการวิจัยเอทานอลที่ผลิตจากเซลลูโลส และจากพืชพรรณที่ไม่ใช่อาหาร เพิ่มแหล่งทรัพยากรที่สามารถผลิตไบโอ-ดีเซล การวิจัยพัฒนาสาหร่ายให้เป็นแหล่งผลิตไฮโดรเจน เอทานอล และไบโอ-ดีเซล การพัฒนาเชื้อเพลิงร่วมซีเอ็นจี ดูอัลฟิว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงการพัฒนาไฮบริดต้นทุนต่ำ ฟิวเซล และเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลในประเทศไทยและอาเซียน

ทั้งจีเอ็ม และปตท. ยังจะร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา พร้อมกับทำงานร่วมกันในการพัฒนาบริษัทผู้รับเหมาท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กล่าวว่า “ปตท. เป็นหนึ่งในองค์กรที่หลายคนรู้จักกันดีในด้านความก้าวหน้า และความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่จีเอ็มเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าที่สุดในโลก การนำทั้งสองหน่วยงานนี้มาทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการในกลยุทธด้านพลังงานเพื่อประเทศไทยนั้น จะให้ประโยชน์แก่ระบบขนส่งของประเทศไทยอย่างประเมินค่ามิได้ ขณะเดียวกัน ยังจะสร้างคุณค่าให้แก่ประชาชนคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในครอบครัวได้ เราต่างรู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือกันในครั้งนี้”

 “ความร่วมมือในการวิจัยด้านพลังงาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตร ทั้งองค์กร สถาบันวิชาการ และหลายประเทศ เพื่ออนาคตของประเทศของเรา อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตขึ้น ทำให้เราในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมจะต้องมั่นใจว่า เรามีความเข้าใจในโอกาส และความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเราได้” 

แผนพัฒนาพลังงานทางเลือก

ด้านมร. ริก แวกอเนอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประการสุดท้าย คือ การพัฒนาแผนพลังงานทางเลือกสำหรับประเทศไทย จีเอ็มจะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อพัฒนาบทสรุปและบูรณาการแผนลยุทธ์พลังงานทางเลือกเพื่อประเทศไทย แผนกลยุทธ์ดังกล่าวจะเน้นที่พลังงานทางเลือกที่ “รับผิดชอบต่อสังคม ประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นเทคโนโลยีที่เป็นไปได้”  

จีเอ็มจะแบ่งปันทรัพยากรทุกด้านรวมทั้งบุคลากร เพื่อให้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาแผนลดการพึ่งพาน้ำมันปิโตรเลียมในประเทศไทย

 “มีความท้าทายใหญ่รออยู่เบื้องหน้า รวมถึงช่องทางของประเทศไทยและของโลกในการรับมือกับประเด็นพลังงานและสิ่งแวดล้อม” มร.แวกอเนอร์ กล่าว “ด้วยการปรับปรุงแหล่งทรัพยากรและการทำงานร่วมกัน แผนการที่ครอบคลุมของจีเอ็มในการสนับสนุนพลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อประเทศไทย จะช่วยยกระดับและแสวงหาช่องทางเพื่อประโยชน์สำหรับคนไทยทุกคน”  
“แผนการพลังงานทางเลือกสำหรับยานยนต์อันล้ำหน้านี้ จะช่วยสนับสนุนประเทศไทย ให้มีเทคโนโลยีเติบโตเร็วที่สุดและเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์” มร.แวกอเนอร์ กล่าว “แผนนี้ ถูกริเริ่มขึ้นเพื่อนำทรัพยากรทั้งหมดทั้งปวงเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงทรัพยากรของจีเอ็มทุกด้าน การเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของพลังงาน และเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

จากภาพ
มร. จี. ริชาร์ด แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ ให้การต้อนรับ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชม “งานเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกแห่งอนาคตของจีเอ็ม” หรือ “GM Auto Tech” ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี โดยมี มร. แลร์รี่ เบิร์นส์ รองประธาน ฝ่ายวิจัย และพัฒนา และวางแผนกลยุทธ์ มร สตีฟ คาร์ไลน์ ประธานกรรมการบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมให้การต้อนรับ
# # # # # # #

บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 77 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 266,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 35 ประเทศ ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.37 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadillac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเด้น (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลส์โมบิล (Oldsmobile) โอเปิล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Saab) แซเทิร์น (Saturn) ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) และวู่หลิง (Wuling) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย (www.gm.com)


จับมือหน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรอุตาสหกรรม 
รับมือความท้าท้ายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 

กรุงเทพฯ – มร.ริค แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกาศแผนความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนรัฐบาลไทยในการแสวงหาพลังงานทางเลือก และระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีพื้นฐานหลักการที่จะแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานที่ถือว่ามีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือกันหลากหลายด้าน

นอกจาก มร.แวกอเนอร์แล้ว การประกาศแผนการครั้งนี้ ยังมี ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคุณศุภรัตน์ ศิริสุวรรนาคกุล ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เข้าร่วมในงานด้วย  

 “จีเอ็มจะเป็นผู้เชี่อมโยง ผู้อำนวยความสะดวก และสนับสนุนการพัฒนา ร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับประเด็นด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน” มร.แวกอเนอร์ กล่าว

จีเอ็ม ประกาศแผนระยะยาวไว้ 3 ประการ

ศูนย์ความเชี่ยวชาญพลังงานหลากหลายเพื่อยานยนต์
มร.แวกอเนอร์ กล่าวว่า ความคิดริเริ่มประการแรก คือการสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพลังงานยานยนต์ที่มีความหลากหลาย จีเอ็มใช้ทรัพยากรด้านวิศวกรรมต่างๆ ของจีเอ็มทั่วโลก เพื่อนำประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไปสู่เป้าหมายการใช้พลังงานทางเลือกชนิดต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งซีเอ็นจี เอทานอลที่ทำจากเซลลูโลส ไบโอดีเซล และแอลพีจี โดยการทำการวิจัยต่างๆ จะมีการร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล พันธมิตรอุตสาหกรรม และสถาบันนักวิชาการ

แหล่งพลังงานทางเลือกล้ำสมัย

ความคิดริเริ่มประการถัดมา คือ การสร้างพันธมิตรกับ ปตท. เพื่อร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดตลาด และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และประโยชน์จากการเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกในภาคคมนาคม และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย

จีเอ็มและปตท. จะพิจารณาถึงขอบเขตความร่วมมือ ทั้งการวิจัยเอทานอลที่ผลิตจากเซลลูโลส และจากพืชพรรณที่ไม่ใช่อาหาร เพิ่มแหล่งทรัพยากรที่สามารถผลิตไบโอ-ดีเซล การวิจัยพัฒนาสาหร่ายให้เป็นแหล่งผลิตไฮโดรเจน เอทานอล และไบโอ-ดีเซล การพัฒนาเชื้อเพลิงร่วมซีเอ็นจี ดูอัลฟิว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงการพัฒนาไฮบริดต้นทุนต่ำ ฟิวเซล และเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลในประเทศไทยและอาเซียน

ทั้งจีเอ็ม และปตท. ยังจะร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา พร้อมกับทำงานร่วมกันในการพัฒนาบริษัทผู้รับเหมาท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กล่าวว่า “ปตท. เป็นหนึ่งในองค์กรที่หลายคนรู้จักกันดีในด้านความก้าวหน้า และความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่จีเอ็มเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าที่สุดในโลก การนำทั้งสองหน่วยงานนี้มาทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการในกลยุทธด้านพลังงานเพื่อประเทศไทยนั้น จะให้ประโยชน์แก่ระบบขนส่งของประเทศไทยอย่างประเมินค่ามิได้ ขณะเดียวกัน ยังจะสร้างคุณค่าให้แก่ประชาชนคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในครอบครัวได้ เราต่างรู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือกันในครั้งนี้”

 “ความร่วมมือในการวิจัยด้านพลังงาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตร ทั้งองค์กร สถาบันวิชาการ และหลายประเทศ เพื่ออนาคตของประเทศของเรา อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตขึ้น ทำให้เราในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมจะต้องมั่นใจว่า เรามีความเข้าใจในโอกาส และความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเราได้” 

แผนพัฒนาพลังงานทางเลือก

ด้านมร. ริก แวกอเนอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประการสุดท้าย คือ การพัฒนาแผนพลังงานทางเลือกสำหรับประเทศไทย จีเอ็มจะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อพัฒนาบทสรุปและบูรณาการแผนลยุทธ์พลังงานทางเลือกเพื่อประเทศไทย แผนกลยุทธ์ดังกล่าวจะเน้นที่พลังงานทางเลือกที่ “รับผิดชอบต่อสังคม ประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นเทคโนโลยีที่เป็นไปได้”  

จีเอ็มจะแบ่งปันทรัพยากรทุกด้านรวมทั้งบุคลากร เพื่อให้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาแผนลดการพึ่งพาน้ำมันปิโตรเลียมในประเทศไทย

 “มีความท้าทายใหญ่รออยู่เบื้องหน้า รวมถึงช่องทางของประเทศไทยและของโลกในการรับมือกับประเด็นพลังงานและสิ่งแวดล้อม” มร.แวกอเนอร์ กล่าว “ด้วยการปรับปรุงแหล่งทรัพยากรและการทำงานร่วมกัน แผนการที่ครอบคลุมของจีเอ็มในการสนับสนุนพลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อประเทศไทย จะช่วยยกระดับและแสวงหาช่องทางเพื่อประโยชน์สำหรับคนไทยทุกคน”  
“แผนการพลังงานทางเลือกสำหรับยานยนต์อันล้ำหน้านี้ จะช่วยสนับสนุนประเทศไทย ให้มีเทคโนโลยีเติบโตเร็วที่สุดและเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์” มร.แวกอเนอร์ กล่าว “แผนนี้ ถูกริเริ่มขึ้นเพื่อนำทรัพยากรทั้งหมดทั้งปวงเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงทรัพยากรของจีเอ็มทุกด้าน การเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของพลังงาน และเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

จากภาพ
มร. จี. ริชาร์ด แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ ให้การต้อนรับ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชม “งานเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกแห่งอนาคตของจีเอ็ม” หรือ “GM Auto Tech” ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี โดยมี มร. แลร์รี่ เบิร์นส์ รองประธาน ฝ่ายวิจัย และพัฒนา และวางแผนกลยุทธ์ มร สตีฟ คาร์ไลน์ ประธานกรรมการบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมให้การต้อนรับ
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 77 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 266,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 35 ประเทศ ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.37 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadillac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเด้น (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลส์โมบิล (Oldsmobile) โอเปิล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Saab) แซเทิร์น (Saturn) ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) และวู่หลิง (Wuling) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย (www.gm.com)

Ford ผลิตเก๋งเล็กรุ่นล่าสุดของโลก “เฟียสต้า”



Ford เริ่มผลิตเก๋งเล็กรุ่นล่าสุดของโลก “เฟียสต้า”

• ฟอร์ด เฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่คันแรกของโลกจากสายการผลิตที่เมืองโคโลญ เผยโฉมสู่ตลาดโลกครั้งแรกวันนี้
• เฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นในยุโรปเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าทั่วโลก
• ฟอร์ดผลิตและจำหน่ายเฟียสต้าในยุโรป อเมริกา และเอเชีย และจะทยอยวางตลาดทั่วโลกตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงปี 2553
• นับตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา โรงงานฟอร์ดที่เมืองโคโลญได้ผลิตฟอร์ด เฟียสต้าออกสู่ตลาดแล้วกว่า 5.3 ล้านคัน

โคโลญ เยอรมนี 14 สิงหาคม 2551 -- “เฟียสต้า เจเนอเรชั่นใหม่” รถยนต์นั่งขนาดเล็กระดับโลกรุ่นแรกของฟอร์ด ได้เริ่มการผลิตเพื่อจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ที่โรงงานที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
 
ฟอร์ด เฟียสต้ารุ่นใหม่หมดตั้งแต่หัวจดท้ายถูกสร้างสรรค์และพัฒนาขึ้นจากฝ่ายพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ของฟอร์ดในยุโรป เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าฟอร์ดทั่วโลก

ฟอร์ดเฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่นับเป็นแม่แบบของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกในอนาคตของฟอร์ดที่ผนึกกำลังทั่วโลกเข้าด้วยกัน ทั้งทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย โดยที่แต่ละภูมิภาคสามารถพัฒนาฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ให้มีคุณสมบัติเฉพาะเหมาะกับความต้องการของแต่ละประเทศได้โดยจะเริ่มวางตลาด ทั่วโลกตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงปี 2553 และเปิดตัวในยุโรปเป็นภูมิภาคแรก 

โรงงานฟอร์ดที่เมืองโคโลญได้รับเกียรติให้เป็นโรงงานแห่งแรกในโลกที่ผลิตฟอร์ด เฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่ จากนั้นในเดือนมกราคม 2552 โรงงานของฟอร์ดที่เมืองวาเลนเซียประเทศสเปนจะเริ่มผลิตเฟียสต้าใหม่เช่นกัน และในช่วงปลายปี 2551 ไปจนถึงต้นปี 2553 ก็ยังมีโรงงานที่เมืองนานจิง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โรงงานที่จังหวัดระยองในประเทศไทย และโรงงานที่เมืองคูอัวทิทลานในประเทศเม็กซิโก ที่จะเริ่มเปิดสายการผลิตเพื่อป้อนตลาดในภูมิภาคของตนเอง

มร. อลัน มูลาลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวผ่านการประชุมทางวีดิโอกับพนักงานฟอร์ดในยุโรปในงานฉลองที่เมืองโคโลญว่า “วันนี้เราได้ร่วมกันฉลองการเริ่มต้นยุคใหม่ของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ด้วยรถยนต์คันแรกจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกของเราที่มีความโดดเด่นมาก นั่นก็คือ ฟอร์ด เฟียสต้า อันเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ “One Ford” ของเรา หรือความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทระดับโลกหนึ่งเดียวที่ออกแบบและผลิตรถยนต์สำหรับลูกค้าทั่วโลก ขอให้พนักงานภูมิใจต่อความสำเร็จอย่างสูงที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำให้รถยนต์รุ่นนี้เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วโลก”

ฟอร์ดได้ลงทุน 455 ล้านยูโรในการปรับโครงสร้างและพัฒนาโรงงานที่เมืองโคโลญให้เป็นฐาน
การผลิตฟอร์ด เฟียสต้าใหม่

ฟอร์ด เฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่ผลิตขึ้นด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับที่
ใช้ในการผลิตรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตของฟอร์ดได้นำเทคนิคเหล่านี้ไปติดตั้งในโรงงานที่เมืองโคโลญ โดยที่ไม่กระทบกับการผลิตฟอร์ด เฟียสต้าที่มีอยู่เลย เนื่องจากทีมผลิตฟอร์ด เฟียสต้ารุ่นใหม่ได้เข้าไปติดตั้งและทดสอบระบบใหม่บนสายการผลิตที่มีอยู่เดิมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และได้มีการฝึกอบรมพนักงานประจำสายการผลิตรวมทิ้งสิ้น 50,000 ชั่วโมง ทั้งกับรถยนต์ที่ไม่ได้นำขึ้นสายการผลิตและบนสายการผลิต ตัวอย่างเช่น ทีมผลิตได้ฝึกซ้อมการประกอบรถบนสายการผลิตจริง ก่อนจะแยกชิ้นส่วนออกและฝึกประกอบเข้าไปใหม่เป็นประจำทุกวันติดต่อกันถึง 6 สัปดาห์ 

ในปี 2551 ฟอร์ดมีแผนที่จะผลิตฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ที่ในเมืองโคโลญเป็นจำนวน 148,000 คัน โดยเมื่อใช้กำลังการผลิตเต็มที่ โรงงานแห่งนี้จะสามารถผลิตรถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้า และฟอร์ด ฟิวชั่น รวมกันได้ถึงวันละ 1,900 คัน โดยทำงานวันละ 3 กะ

มร. จอห์น เฟลมมิ่ง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด ยุโรป เปิดเผยว่า “ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่เป็นรถยนต์ที่มีความพิเศษสำหรับฟอร์ดในยุโรปและลูกค้าของเรา เพราะตลอด 32 ปีที่ผ่านมาชื่อของ ฟอร์ด เฟียสต้าเป็นรถยนต์ที่ขายดีอันดับหนึ่งของยุโรปมาตลอด”

“เพราะเฟียสต้า มีรูปลักษณ์การดีไซน์โดดเด่น และเปี่ยมคุณภาพ จึงทำให้ได้รับความนิยมจากทั้งคนรุ่นใหม่ที่จะซื้อเฟียสต้าและลูกค้าเดิมที่เรามีอยู่ เราเชื่อว่าความสำเร็จที่ผ่านมาจะช่วยให้ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น” นายเฟลมมิ่งกล่าวเสริม

ฟอร์ด เฟียสต้าเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2519 จนถึงปัจจุบัน ฟอร์ดได้จำหน่ายเฟียสต้าไปแล้วมากถึง 12 ล้านคัน และมีลูกค้ากว่า 400,000 รายในปี 2550 สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่าฟอร์ด เฟียสต้าประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมมายาวนาน

ฟอร์ด เฟียสต้าเจเนอเรชั่นใหม่ มีรูปลักษณ์การดีไซน์ภายนอกและการตกแต่งภายในที่ปราดเปรียวมีสไตล์ ดึงดูดทุกสายตาด้วยการใช้สีสันที่สดใส และชิ้นส่วนในการผลิตที่มีคุณภาพสูง รถยนต์รุ่นนี้ ยังคงคุณลักษณะที่โดดเด่นของเฟียสต้าไว้อย่างครบครัน ทั้งสไตล์ ประสิทธิภาพ และคุณภาพการขับขี่ที่น่าประทับใจ

องค์กรต่างๆแม้ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างก็ยอมรับว่าโรงงานผลิตเฟียสต้าในเมืองโคโลญมีประสิทธิภาพสูงสุดในยุโรป ในปี 2550 โรงงานแห่งนี้ผลิต ฟอร์ด เฟียสต้าและฟอร์ด ฟิวชั่นได้รวม 410,900 คัน รถยนต์กว่า 85 เปอร์เซ็นต์ที่ผลิตในเมืองโคโลญเมื่อปีที่แล้วถูกส่งออกไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โรงงานแห่งนี้มีพนักงานกว่า 4,000 คน

ต้นปีนี้ฟอร์ดเริ่มใช้พลังงานไฟฟ้าทางเลือกจากแหล่งใหม่เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการผลิตฟอร์ด เฟียสต้าและโรงงานผลิตในโคโลญ จากโครงการนี้ทำให้ฟอร์ดสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 190,000 ตันต่อปี เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นที่ฟอร์ดจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ตลอดวงจรอายุการใช้งาน

มร. จิม เททรีออลท์ รองประธานฝ่ายการผลิต ฟอร์ด ในยุโรป กล่าวว่า “เราภูมิใจในโรงงานประกอบรถยนต์ในโคโลญและรถยนต์ที่เราผลิต ณ โรงงานแห่งนี้ สำหรับเฟียสต้านั้น นอกจากจะเป็นการนำนวัตกรรมการออกแบบและวิศวกรรมยานยนต์มาสู่ตลาดรถยนต์ขนาดเล็กแล้ว ยังได้ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตอีกด้วย”

“เฟียสต้าใหม่นี้แข็งแกร่ง ทนทาน และปลอดภัย เพราะเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตตัวถังทำให้เราสามารถผลิตรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่งเนื่องจากใช้เหล็กเสริมแรง เราผลิตฟอร์ด เฟียสต้าด้วยความประณีต พิถีพิถันและความแม่นยำ เพราะเรามีพนักงานที่ทุ่มเทและมีประสิทธิภาพยากจะหาใครเทียมได้” นายเททรีออลท์กล่าว
หมายเหตุ:
ในพิธีเปิดสายการผลิตในวันนี้ ฟอร์ดได้รับเกียรติจาก ดร. ยือร์เกน รัทท์เกอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งแคว้นนอร์ธไรน์ เวสต์ฟาเลียและเบอเกอร์ไมสเตอร์แห่งโคโลญ และโจเซฟ มุลเลอร์ มาร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมี จิม เททรีออลท์ รองประธานฝ่ายการผลิต ฟอร์ดในยุโรปและเบิร์นฮาร์ด แมทส์ ประธานคณะกรรมการ ฟอร์ดในเยอรมัน เป็นผู้แทนของฟอร์ด

สามารถดาวน์โหลดภาพและวีดิโอเกี่ยวกับงานนี้ได้จากเว็บไซต์ http://media.ford.com

14 ส.ค. 2551

“เชฟโรเลต อิควิน็อกซ์” รถไฮโดรเจน ไร้มลพิษ มาแล้ว











“เชฟโรเลต อิควิน็อกซ์” รถไฮโดรเจน ไร้มลพิษ 
ปล่อยเพียงหยดน้ำบริสุทธิ์ ลัดฟ้าข้ามทวีป ส่งถึงเมืองไทยแล้ว

กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต อิควิน็อกซ์ ไฮโดรเจน ฟิวเซล (Chevrolet Equinox Hydrogen Fuel Cell) รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน ไร้มลพิษอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่ออกมาทางท่อไอเสียเป็นเพียงหยดน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น รถยนต์ได้ถูกส่งตรงจากสหรัฐอเมริกามาถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของประเทศไทย เรียบร้อยแล้วเมื่อเช้าวันที่ 6 สิงหาคม 2551

“จีเอ็ม” บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา ส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า อิควิน็อกซ์ ฟิวเซล เพื่อนำมาจัดแสดงในงาน “จีเอ็๋ม ออโต้ เทค” (GM Auto Tech) ระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2551 พร้อมกับ รถยนต์พลังงานทางเลือกอันหลากหลายรุ่นอื่นๆ อีก 7 รุ่น อาทิ เชฟโรเลต ทาโฮ ทูโหมด ไฮบริด (Chevrolet Tahoe 2-Mode Hybrid) แซทเทิร์น วิว กรีนไลน์ ไฮบริด (Saturn Vue Green Line Hybrid) เชฟโรเลต อิมพาลา E85 (Chevrolet Impala E85) รวมทั้งรถยนต์และรถกระบะพลังงานก๊าซธรรมชาติ CNG และรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง E20  


ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้ ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสพิเศษที่จะให้คนไทยได้มีโอกาสสัมผัสกับเทคโนโลยียานยนต์อันล้ำหน้า ในวาระฉลองการครบรอบ 100 ปี ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ในปีนี้ด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการจัดแสดงรถยนต์พลังงานทางเลือกหลากหลายรูปแบบพร้อมๆ กัน 

GM ทุ่มเงินเกือบ 15,000 ล้านบาท ทำโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซล ที่ระยอง






GM ทุ่มเงินเกือบ 15,000 ล้านบาท

เปิดโรงงานเครื่องยนต์ในไทย พร้อมพัฒนาระบบวิศวกรรมการผลิตในไทย 


• การทุ่มทุนกว่าหมื่นล้านสร้างศูนย์การผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนการขยายธุรกิจในประเทศตลาดใหม่ที่กำลังเจริญเติบโตของจีเอ็ม (Emerging Markets)

• เครื่องยนต์ดีเซลที่ออกจากศูนย์การผลิตฯ แห่งนี้ ส่วนหนึ่งจะใช้ในรถเชฟโรเลตที่จำหน่ายในประเทศไทย พร้อมส่งออกสู่ตลาดประเทศอื่น และใช้ในรถแบรนด์อื่นในเครือจีเอ็ม

• การลงทุนครั้งนี้ ยังครอบคลุมถึงการติดตั้งเครื่องมือใหม่ในสายการผลิตเดิม และระบบวิศวกรรมที่ทันสมัยยิ่งขึ้นเพื่อพัฒนากระบะโคโลราโดรุ่นต่อไป

ระยอง – วันนี้ มร.ริค แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ สหรัฐอเมริกา แถลงการทุ่มเม็ดเงินมหาศาล 14,685 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นสี่พันหกร้อยแปดสิบห้าล้านบาท) หรือ 455 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่ในประเทศไทย พร้อมเสริมระบบวิศวกรรมในโรงงานประกอบรถยนต์แห่งเดิมให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย  

โรงงานเครื่องยนต์แห่งใหม่นี้มีพื้นที่ทั้งหมด 14,492 ตารางเมตร (156,000 ตารางฟุต) ถือเป็นโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งแรกของจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะผลิตเครื่องยนต์ 4 สูบสำหรับใช้ในรถแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมไปถึงการใช้ในแบรนด์อื่นๆ ของจีเอ็มด้วย ทั้งนี้ การก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเสร็จสิ้นพิธีการเทปูนหล่อเสาเข็มต้นแรกของโรงงานฯ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานถึง 400 ท่าน ซึ่งรวมถึง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯพณฯ มร.เอริค จี.จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลไทยและจากประเทศในแถบอาเซียน รวมไปถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ

การทุ่มเงินลงทุนครั้งนี้ นอกจากจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งใหม่แล้ว ยังรวมถึงการพัฒนาระบบวิศวกรรม และการติดตั้งเครื่องมือที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้นในศูนย์การผลิตรถยนต์แห่งเดิม ในการรองรับการผลิตรถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่ ซึ่งจะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย และส่งออกไปจำหน่ายยังทั่วโลกในอนาคตอันใกล้นี้ 

โรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่นี้จะเริ่มเปิดสายการผลิตได้ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ในเบื้องต้นจะมีพนักงานราว 340 คน มีศักยภาพการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตรเทอร์โบได้มากกว่า 100,000 เครื่องต่อปี โดยจะวางอยู่ในรถหลายๆ รุ่น ซึ่งรุ่นแรกที่จะใช้เครื่องยนต์จากโรงงานนี้คือ เชฟวี่ โคโลราโด รุ่นใหม่ โรงงานผลิตเครื่องยน์ดีเซลแห่งนี้ได้รับการออกแบบ และพัฒนาร่วมกันระหว่าง จีเอ็ม และวีเอ็ม โมโตรี่ (VM Motori S.p.A.) ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ดีเซลจากเมืองเซนโต ประเทศอิตาลี ซึ่งจีเอ็มได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท วีเอ็ม โมโตรี่ จำนวน 50% เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมาเพื่อก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เพนส์เก้ คอร์ปอเรชั่น (Penske Corporation)

“โรงงานแห่งนี้ เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า จีเอ็มทั่วโลกกำลังเดินตามกลยุทธ์หลัก 2 ประการ” มร.แวกอเนอร์ กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า “ประการแรก คือการเร่งแสวงหาพลังงานทางเลือก และระบบขับเคลื่อนใหม่ที่จะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงจากซากฟอสซิลทั่วไป ทั้งถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ประการที่สองคือ การเร่งพัฒนาตลาดเกิดใหม่ของจีเอ็มในหลายประเทศ รวมถึงภูมิภาคอาเซียน ในฐานะที่เป็นกุญแจสำคัญในการขยายตลาดทั่วโลก” 

และมร. แวกอเนอร์ ยังเสริมต่อไปอีกว่า “เครื่องยนต์ดีเซล มีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การพัฒนาเครื่องยนต์ที่ล้ำยุคของจีเอ็มทั่วโลก เรากำลังยกระดับความเชี่ยวชาญและบุคลากรภายในองค์กรของเรา โดยผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเครื่องยนต์เทคโนโลยีระดับสูงต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลที่ดีที่สุดในโลก การลงทุนครั้งนี้ จะช่วยยกระดับศักยภาพความสามารถในการผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ที่ทันสมัยของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”  

มร.สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า “โรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่นี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของจีเอ็ม มีความยืดหยุ่น และมีกระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่ปฏิบัติงานภายในโรงงานเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการผลิตที่โดดเด่นของศูนย์การผลิตของจีเอ็มทุกแห่ง เราได้นำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของจีเอ็มเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่า จีเอ็มได้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุด สำหรับลูกค้าของเราทุกคน ขณะเดียวกัน การทำงานอย่างหนักในการพัฒนาระบบ CNG เอธานอลที่ทำจากเซลลูโลส ไบโอ-ดีเซล รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ ทำให้เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้กลายเป็นผู้นำในการผลิตยานยนต์พลังงานทางเลือกอันหลากหลายได้ในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว” 

ศูนย์การผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งใหม่ของจีเอ็มที่จังหวัดระยองนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับศูนย์การผลิตรถยนต์เชฟโรเลต ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง ซึ่งเปิดสายการผลิตตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา มีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ผลิตยานยนต์คุณภาพหลายรุ่น ทั้งเชฟโรเลต โคโลราโด เชฟโรเลต อาวีโอ เชฟโรเลต ออพตร้า เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท และเชฟโรเลต แคปติวา

ปัจจุบัน จีเอ็มมีเครื่องยนต์ดีเซล 17 รุ่น ใช้ในรถ 45 รุ่นที่ออกจำหน่ายทั่วโลก แต่ละปีจีเอ็มทำยอดขายรถเครื่องยนต์ดีเซลได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง โดยมีหลากหลายขนาดเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ ตั้งแต่ 4 สูบ 1.3 ลิตรดีเซลที่วางอยู่ในโอเปิล อากิรา และคอร์ซา ไปจนถึงบล็อกใหญ่ วี 8 ความจุ 6.6 ลิตร ดูราแมกซ์ ดีเซลซึ่งใช้ในรถแวน รถปิกอัพ และรถทรัคขนาดใหญ่ในสหรัฐ  
###

บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 77 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 266,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 35 ประเทศ ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.37 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadillac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเด้น (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลส์โมบิล (Oldsmobile) โอเปิล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Saab) แซเทิร์น (Saturn) ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) และวู่หลิง (Wuling) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย (www.gm.com) 

มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานฯ GM ไทย รับแขกในงานเริ่มก่อสร้าง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งใหม่ในประเทศไทย




มร. สตีฟ คาร์ไลส์
ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเซีย โอเปอเรชั่นส์

กล่าวในงานแถลงข่าวการลงทุนการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลศูนย์การผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย

วันที่ 13 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00-15.00 น.

• สวัสดีครับ ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษทุกท่าน

• ในฐานะตัวแทนจาก เจนเนอรัล มอเตอร์ส ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานกับเราในวันนี้

• ผมขอถือโอกาสนี้กล่าวต้อนรับแขกพิเศษของเราในวันนี้ครับ

o ฯพณฯ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 

o คุณ สาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

o ฯพณฯ เอริค จอห์น เอกอัครราชฑูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย

o คุณ ริค แวกอเนอร์ ประธาน และ กรรมการบริหาร จีเอ็ม

• ในอีกไม่กี่นาทีนี้ เราจะเริ่มต้นการก่อสร้างศูนย์การผลิตที่มีความสำคัญแห่งใหม่ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ นั่นคือ โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งใหม่ของเรา

• โรงงานนี้ ไม่ได้เป็นเพียงโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งแรกของเราในประเทศนี้ แต่ยังเป็นโรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งแรกของจีเอ็ม ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

• ศูนย์การผลิตแห่งใหม่นี้ จะเริ่มต้นการผลิตในปี 2553 จะกลายเป็นศูนย์การผลิตที่ทันสมัยที่สุด มีความคล่องตัวสูง และให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอย่างมาก

• เราจะส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีระดับที่สูงขึ้น และเรียนรู้จากกระบวนการผลิตที่ได้รับการยอมรับจากโรงงานอื่นๆ ทั่วโลก

• ทีมวิศวกรเครื่องยนต์ของเราในจังหวัดระยอง จะสามารถสนองความต้องการด้านเครื่องยนต์ของจีเอ็มได้ทั่วทั้งภูมิภาค

• หากจะกล่าวถึงพนักงานภายในโรงงานแห่งนี้แล้วนั้น เราจะมีพนักงานทั้งหมด 340 คน และเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย

• ทีมงานเหล่านี้ มีศักยภาพในการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร มากกว่า 100,000 คัน ต่อปี

• เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่ทันสมัยล่าสุดนี้ จะเป็นขุมพลังของรถยนต์เชฟโรเลตในรุ่นต่อๆ ไป ที่จะผลิตขึ้นในศูนย์การผลิตรถยนต์เดิม และรถยนต์ในแบรนด์อื่นๆ ที่จะออกจำหน่ายไปยังตลาดทั่วโลก

• โรงงานแห่งนี้ช่วยให้เราสามารถส่งมอบเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีสมรรถนะสูงที่สุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในทุกวันนี้

• โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลแห่งใหม่ของเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนที่มีมูลค่าสูงถึงกว่า 15,000 ล้านบาท ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ในประเทศไทย

• การลงทุนครั้งใหม่ของเรายังรวมไปถึง การพัฒนาการทำงานทางด้านวิศวกรรม และการดัดแปลงศูนย์การผลิตรถยนต์แห่งเดิมที่นี่ รวมไปถึงการผลิตรถกระบะขนาดเล็ก เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่ เพื่อการจำหน่ายในประเทศไทย และที่อื่นๆ ทั่วโลก

• การลงทุนครั้งใหม่นี้จะนำ เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ เชฟโรเลต แบรนด์ชั้นนำของเราให้เป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถแข่งขันในตลาดประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ได้อย่างเต็มที่

• และที่สำคัญที่สุด ก็คือ เราสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างออกไปในภูมิภาคนี้ ได้อย่างทันท่วงที

• ขอบคุณครับ

ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส กับโรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่ของ GM








มร. ริชาร์ด แวกอเนอร์ ในงานเริ่มต้นการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ระดับโลกแห่งใหม่ล่าสุดของ จีเอ็ม

ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นแถลงในงานแถลงข่าวการลงทุนก่อสร้างโรงงานเครื่องยนต์

ศูนย์การผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย จังหวัดระยอง

วันที่ 13 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00-13.30 น.

• สวัสดีครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กลับมาที่ศุนย์การผลิตรถยนต์ จีเอ็ม ประเทศไทย ที่ระยองนี้อีกครั้ง
 
• แปดปีที่แล้ว ผมมีความสุขมาก ที่ได้ขับรถยนต์คันแรกที่ศูนย์การผลิตรถยนต์แห่งนี้ผลิตขึ้นมา

• นับแต่นั้นมา ผมได้คอยดูพัฒนาการของศูนย์การผลิตฯ นี้อย่างใกล้ชิด

• ในขณะนั้น ศูนย์การผลิตแห่งนี้ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นโครงการนั้น หนึ่งในเป้าหมายหลักของเรา คือ ทำให้ศูนย์การผลิตฯ ของเราเติบโตไปพร้อมๆ กับตลาดรถยนต์ของประเทศไทย ตลอดจนทั่วทั้งภูมิภาค และทั่วโลก

• ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ศูนย์การผลิตแห่งนี้ ได้พัฒนาจากการผลิตรถเพียงรุ่นเดียว คือ ซาฟิร่า เอ็มพีวี จนกระทั่งมาผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นอย่าง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ และ รถอเนกประสงค์เอสยูวี

• รถยนต์และรถกระบะที่ผลิตขึ้นที่นี่ถูกส่งออกเพื่อจำหน่ายไปทั่วโลก นั่นทำให้คำว่า “เมด อิน ไทยแลนด์” เป็นเครื่องหมายแห่งคุณภาพ

* * * * * * *

• วันนี้ คือ วันแห่งความภาคภูมิใจสำหรับครอบครัว เจนเนอรัล มอเตอร์ส เนื่องจากศูนย์การผลิตแห่งนี้ฉลองความสำเร็จอีกหนึ่งก้าว นั่นคือ การเริ่มต้นการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ระดับโลกแห่งใหม่ล่าสุดของ จีเอ็ม

• ตามที่คุณ สตีฟ (คาร์ไลส์) ได้กล่าวไว้ว่า นี่คือการลงทุนที่สำคัญ ที่ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคนี้ และยังเพิ่มศักยภาพโดยรวมของจีเอ็มในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอีกด้วย

• นอกจากนี้แล้ว เรายังมีรถยนต์ใหม่อีกหลายรุ่นที่ยังไม่เปิดตัว เช่น รถกระบะรุ่นใหม่ที่ออกแบบได้ถูกใจลูกค้าในประเทศไทย และที่อื่นๆ ทั่วโลก

• และในวันพรุ่งนี้ เราจะประกาศการเปิดตัวกลยุทธ์การร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานอย่างประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศไทย และภายในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด

• การลงทุนใหม่ทั้งหมดนี้ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า จีเอ็มได้ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน

• การเติบโตของจีเอ็มในประเทศไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด

• และเป็นส่วนหนึ่งของการมุ่งเน้นเพื่อขยายฐานของจีเอ็มในตลาดใหม่ของจีเอ็มในภูมิภาคต่างๆ ของโลก

* * * * * * *

• อย่างที่พวกท่านได้ทราบแล้ว เจนเนอรัล มอเตอร์ส จะมีงานฉลองครบรอบ 100 ปี ในปีนี้

• เมื่อเราเข้าสู่ศตวรรษที่สองในการทำธุรกิจนี้ ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดจะมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก

• เจนเนอรัล มอเตอร์ส มีความตั้งใจอันแน่วแน่เพื่อเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศไทย และ ทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

• เพื่อบรรลุเป้าหมายของเรานั้น เราจะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อการลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคที่สำคัญแห่งนี้ต่อไป

• ในขณะเดียวกัน เราจะทำอาเซียนให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญในการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ รวมไปถึงเทคโนโลยีล้ำยุคใหม่ๆ อีกด้วย

* * * * * * *

• และท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะแสดงความยินดีกับทีมงานที่ระยอง สำหรับผลงานอันโดดเด่นของพวกเขา

• ทีมงานทุกคนนำความสำเร็จมาสู่ศูนย์การผลิตฯ ของเรา และทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในศูนย์การผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศไทย

• พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งในความสำเร็จอันต่อเนื่องของศูนย์การผลิตรถยนต์ฯ ที่ระยองนี้ ในขณะที่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส จะเดินหน้าเพื่อนำบริษัทของเราให้เติบโตในตลาดและภูมิภาคที่มีความสำคัญแห่งนี้

• ขอบคุณครับ