หลังจากงานเปิดตัววอลโว่ เอส 80 ที่เซนทารา เซนทรัลเวิร์ล ช่วงบ่ายเสร็จแล้ว ผมกับเพื่อน(จ๊อกซัง) และพี่ชัยยันต์ ฤทธิ์ดอน พากันเดินพาเรดขึ้นสกายวอล์คไปขึ้นรถไฟบีทีเอส สถานีชิดลม ไปลงอโศก แล้วต่อรถไฟใต้ดินไปสถานีพระราม 9 ไปถิ่นฟอร์จูนทาวน์ที่อยู่ใกล้ ๆ อสมท.เพื่อไปชุมนุมรอเวลาเย็นงานสังสรรค์กับประธานฮอนด้าคนใหม่ มร.เคนจิ โอตะกะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่มารับตำแหน่งได้ 3 เดือน
งานนี้บรรณาธิการนิตยสาร ตลอดจนเจ้าของคอลัมน์รถยนต์ทั้งหลายต่างได้สัมผัสกันซึ่ง ๆ หน้ากับผู้บริหารสูงสุดของฮอนด้าในประเทศไทย ก็ชนแก้วไวน์กันหลายรอบ เล่นเอามึนกลับบ้านใกล้ ๆ สี่ทุ่ม เนื่องจาก "จ๊อกซัง" หรือท่านรวิพล สุวรรณผ่อง ต้องเข้าไปทำรายการวิทยุที่ อสมท. 100.5 เอฟเอ็ม ช่วงสี่ทุ่มถึงห้าทุ่ม
ผมก็ขึ้นแท็กซี่แยกวงที่ทางเข้าอสมท.
เป็นการสังสรรค์ที่ไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง แค่อยากรู้จักกันเท่านั้น ท่านถามผมว่าทำงานด้านนี้มากี่ปี คงเห็นหัวผมเป็นสีสไตล์อดีตนายกญี่ปุ่น ก็บอกว่ากว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่บอกว่ากว่าเท่าไหร่ ผมจึงถามท่านว่าท่านอยู่ฮอนด้ามานานแค่ไหน ฮาวลอง ?
ท่านตอบว่า ทเวนตี้ซิก 26 ปี นานพอ ๆ กันเลย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ฮอนด้า นำโดยคุณพงษ์ศักดิ์ ยังยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม
ภาพในร้าน The Tank ถ่ายโดยคุณพงษ์ศักดิ์ ติดอยู่ที่กล้อง "จ๊อกซัง" เดี๋ยวเจอกันเสาร์หน้าจะเอามาให้ชม ว่ามึนขนาดไหน !!
......จะว่าไปแล้วอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ในภาวะถดถอย เนื่องจากหลาย ๆ สภาวะ ทั้งการเมือง ทั้งเรื่องการเงิน เรื่องของเครดิต ที่สถาบันการเงินในประเทศทุนนิยมทั้งหลายปล่อยสินเชื่อจนชาวบ้านเป็นหนี้อีรุงตุงนัง ทำให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งลดลง
ว่ากันว่าอาจจะลามมาถึงประเทศไทยอย่างจังเร็ว ๆ นี้ ที่เขาเรียกกันว่า "วิกฤตทางการเงินอันเกิดจากวิกฤตซับไพรม์" ที่ลามมาจากอเมริกา ไปยุโรป ไปญี่ปุ่น ฯลฯ
หากมาถึงไทยจริงสินเชื่อด้านรถยนต์อาจกระทบกระเทือนบ้าง
ดีที่ผมไม่ใช้บัตรเครดิต
ตอนนี้เลยปลอดหนี้ (แต่ยากจน)
...เรื่องที่บ่น ๆ นี่ ไม่ได้คุยในดินเน่อร์ฮอนด้านะครับ แต่ผมคิดเอาเองว่า หลายคนคงครุ่นคิดแบบนี้เมื่อเมาได้ที่
*******************************
บทสัมภาษณ์จากผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 23 กันยายน 2550
แม้จะก้าวเข้ามาเป็นแม่ทัพใหญ่ของฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน แต่ "เคนจิ โอตะกะ" เคยรับบทแม่ทัพใหญ่ประจำประเทศอินโดนีเซีย ก็สร้างความมั่นใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยด้วยการให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นพันธกิจที่น่าติดตามอย่างยิ่ง
เปรียบเทียบตลาดไทยกับอินโนนีเซีย?
- ตลาดรถยนต์ของอินโดนีเซียมีขึ้นๆ ลงๆ โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดเป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลมีการสนับสนุนเรื่องราคา ทำให้ตลาดรถยนต์มีช่วงจังหวะบูมมาก แต่พอถึงระยะเวลาหนึ่งเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลกลับมีการขึ้นภาษีกว่า 85 % และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในอัตราสูง ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ของอินโดนีเซียทรุดลงอย่างหนักทันที ส่วนตลาดรถยนต์ในประเทศไทยแม้จะมีสถานการณ์ใกล้เคียงกันคือ ขึ้นๆลงๆ แต่ทว่าตลาดโดยรวมยังมีแนวโน้มดีขึ้น
ประเมินตลาดไทยช่วง 8 เดือน?
- สำหรับช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาแม้สภาพการณ์ตลาดรถยนต์ไทยโดยรวมตัวเลขยอดขายจะหดตัวถึง 11 % แต่ฮอนด้าเองกลับมียอดขายลดลงเพียง 5 % เท่านั้น ที่สำคัญเรากลับมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความนิยมของตัวรถอเนกประสงค์ ซีอาร์วี ตามมาด้วยซีวิค และ ซิติ้
คาดหวังอย่างไร?
- คิดว่าปีนี้ยอดขายทั้งตลาดจะหดตัวลง แต่เราคาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10.8 % จากเดิม 10.1 % ในปีที่แล้ว ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ เพราะในช่วงปลายปีจะมีการนำรถยนต์ในรุ่นใหม่เข้ามายังตลาด และตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้าจะทยอยนำรถยนต์ในรุ่นใหม่ๆเข้าสู่ตลาดเมืองไทยอีก 3 -4 รุ่น
การแข่งขันดุเดือดแค่ไหน?
- เรามองว่าการแข่งขันของตลาดรถยนต์เป็นเรื่องที่ทุกค่ายหนีไม่พ้น การขนเอารถเด่น แคมเปญเด็ดมาล่อใจผู้บริโภค ถือเป็นเรื่องดี เพราะเป็นการกระตุ้นตลาด เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้เปรียบเทียบว่าสิ่งไหนเหมาะสมกับตนเอง ในขณะที่ผู้ผลิตต้องมีการวางแผนการทางการตลาดและสร้างข้อได้เปรียบเพื่อที่จุดประสงค์สุดท้ายสามารถขายรถได้
กลยุทธ์ของฮอนด้า?
- หลังรับตำแหน่งมา 3 เดือน เราเชื่อมั่นว่าตัวสินค้าสามารถแข่งขันในตลาดได้ ส่วนสิ่งที่กำลังทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือสร้างศักยภาพการบริหารภายใน หมายถึงทั้งองค์กรทำงานเป็นทีมเดียวกัน รวมเครือข่ายเน็ตเวิร์กต่างๆ เช่นดีลเลอร์ และสร้างความเข้าใจในแบรนด์ฮอนด้า เพราะหากภายในสามารถเชื่อมโยงและเข้าใจตรงกัน การบริหารจะง่าย อันนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
โครงการในอนาคต?
- ฮอนด้าเพิ่งจะลงทุนตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ที่อยุธยา เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็นสองเท่าคือ 240,000 คัน/ปี จากเดิมผลิตได้ 120,000 คัน/ปี ทั้งนี้เพื่อรองรับกับรถยนต์ในรุ่นใหม่รวมไปถึงหากภาครัฐมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับอีโคคาร์ ทางฮอนด้าพร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่