23 มิ.ย. 2551

เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน แรงกว่าเดิม






เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน แรงกว่าเดิม
จูนเครื่อง LS9 V-8 ใหม่ อัดทะลุ 638 แรงม้า 320 ก.ม./ชม.

เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน (Chevrolet ZR1) ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดอาจออกมาแรงกว่าที่คิด หลังจากการเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งาน NAIAS 2008 (North American International Auto Show) เมื่อต้นปี 2008 ที่ผ่านมา ทางทีมงานวิศกรของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และ เชฟโรเลต สหรัฐอเมริกา คาดว่า ซีอาร์วัน จะมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 620 แรงม้า หรือ 100 แรงม้า ต่อ 1 ลิตร จากเครื่องยนต์ วี 8 สูบ ซูเปอร์ชาร์จ แอลเอสไนน์ (Supercharged LS9 ) ขนาด 6.2 ลิตร ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน เป็นรถที่มีความเร็วแรงมากที่สุดเท่าที่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส เคยผลิตขึ้นมา

อย่างไรก็ตามก่อนการวางตลาดของ เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน ในกลางปี 2008 นี้ ทีมวิศวกรของจีเอ็มได้ทดสอบเครื่องยนต์ LS9 อีกครั้ง และคาดว่า LS9 จะสามารถรีดพลังออกมาได้สูงถึง 103 แรงม้า ต่อ ลิตร หรือ 638 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 819 นิวตันเมตร ทำให้ คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 322 กิโลเมตร / ชั่วโมง

“หนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของ คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน คือ การยกระดับของความประณีตในการออกแบบจากทีมวิศวกรผู้ออกแบบที่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพละกำลัง สมรรถนะการขับขี่บนถนน ที่จะทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุกสนานไปกับการขับขี่ใช้งานในทุกๆ วัน หรือแม้แต่การขับอยู่ในสนามแข่ง” มร.เอ็ด เพเพอร์ ผู้จัดการทั่วไป เชฟโรเลต สหรัฐอเมริกา กล่าว

คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน กำลังจะออกสู่ตลาดในกลางปีนี้ พร้อมด้วยโครงแชสซีส์ที่สามารถรองรับการขับขี่ที่หนักหน่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด และไม่เคยถูกนำมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ มาก่อน คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่มีความทนทานสูงสำหรับการใช้ในสนามแข่ง พร้อมเทคโนโลยีแผ่นคลัตช์คู่แบบ ดูอัลดิสก์ (Dual-disc) เพิ่มการควบคุมระบบส่งกำลังให้เครื่องยนต์ได้อย่างยอดเยี่ยม และมีแรงเฉื่อยของการส่งกำลังต่ำกว่าคลัตช์ทั่วไป พร้อมเพลาขับที่ประกอบขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งคอร์เว็ตต์ เป็นรถสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์และประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มต้นจากปี 1953 คอร์เว็ตต์ ซีวัน (Corvette C1) เป็นรถสปอร์ตรุ่นแรก ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง และประกอบแบบ hand built คือ ประกอบด้วยมือโดยไม่ใช้เครื่องจักรในการผลิต และเป็นรถสปอร์ตแบบ 2 ประตู ที่กลายเป็นเอกลักษณ์และตำนานของคอร์เว็ตต์มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปี 1955 ถูกเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์บล็อกใหม่ แบบ วี 8 สูบ เป็นครั้งแรก และได้รับการพัฒนาต่อๆ มาอีกมากมายหลายรุ่น จนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 6 คือ คอร์เว็ตต์ ซีซิกซ์ ซึ่งในแต่ละรุ่นจะมีรุ่นพิเศษออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็น C6R ในเวอร์ชั่นของรถแข่ง หรือ Z06 ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเทียบเท่ากับเวอร์ชั่นของรถแข่งแต่อยู่ในรูปทรงของรถสปอร์ตทั่วไป รวมทั้งเวอร์ชั่น ZR1 ที่ให้สมรรถนะสูงที่สุด

ซีอาร์วัน จะเป็นรหัสที่หมายถึงรถสปอร์ตรุ่นพิเศษที่เน้นให้มีสมรรถนะสูง สำหรับ คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วันรุ่นล่าสุดนี้ มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า “ซีซิกซ์ ซีอาร์วัน” (C6 ZR1) คอร์เว็ตต์ มีรุ่นสมรรถนะสูงที่ใช้รหัส ซีอาร์-วัน (ZR-1) มีมาตั้งแต่รุ่น C3 คือ C3 ZR-1 ซีทรี ซีอาร์-วัน และ C4 ZR-1 ซีโฟร์ ซีอาร์-วัน แต่ในรุ่นที่ 5 หรือ คอร์เว็ตต์ ซี 5 ไม่มีรุ่น ZR-1 แต่จะมีเพียง C5 Z06 ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันกับเวอร์ชั่นตัวแข่งคือ C5R ซีไฟว์อาร์ ก่อนที่รุ่นที่ 6 จะมาเป็น คอร์เว็ตต์ ซีซิกซ์ ซีอาร์วัน ที่ใช้ตัวอักษรที่เปลี่ยนไปเป็น C6 ZR1 โดยไม่มีขีดคั่นกลางระหว่าง ZR กับ 1

สำหรับ เครื่องยนต์ LS9 ยังคงเอกลักษณ์เดิมของคอร์เว็ตต์ คือ เป็นเครื่องยนต์ที่ประกอบขึ้นแบบ hand built ซึ่งทีมงานฝ่ายเทคนิคที่ได้รับการฝึกฝนการประกอบเครื่องยนต์มาเป็นพิเศษจาก ศูนย์การประกอบเครื่องยนต์สมรรถนะสูงของจีเอ็ม ในเมืองวิกซอม รัฐมิชิแกน (Wixom, Michigan) ซึ่งเป็นศูนย์การประกอบพิเศษสำหรับเครื่องยนต์รุ่นพิเศษที่มีการผลิตในจำนวนจำกัด อาทิ เครื่องยนต์ LS7 ใน เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีซีโร่ซิกซ์ (Z06) และเครื่องยนต์สมรรถนะสูงหลายๆ รุ่น ก็ได้รับการประกอบขึ้นที่ศูนย์การประกอบนี้เช่นกัน

“การพัฒนาเครื่องยนต์ LS9 ไม่ได้มีเพียงในเรื่องของแรงม้าสูงๆ เท่านั้น แต่ยังผ่านการทดสอบความทนทาน และความมั่นใจในด้านอื่นๆ อีกมาก เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้แข็งแกร่งสมบูรณ์แบบและไม่ต้องจุกจิกกับการดูแลรักษามากเหมือนกับเครื่องยนต์ขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ” มร.แซม ไวน์การ์เด้น ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิศวกรรมเครื่องยนต์ของจีเอ็ม บรรยายคุณภาพของเครื่องยนต์ LS9 พร้อมกล่าวต่อไปอีกว่า “สิ่งเหล่านี้ทำให้เครื่องยนต์ LS9 มีความโดดเด่น จากการเป็นเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมากที่สุดเท่าที่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส เคยประกอบขึ้นมาก และมันก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้พวกเราทุกคนภูมิใจกับการได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตเครื่องยนต์ LS9”

ระบบอัดอากาศแบบซูเปอร์ชาร์เจอร์ใน LS9
จุดสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์ LS9 ใน คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน ที่จะขึ้นสายการผลิตเป็นครั้งแรกในกลางปีนี้นั้น สามารถรีดสมรรถนะสูงสุดออกมาได้ในระดับนี้ เนื่องจากระบบอัดอากาศ ซูเปอร์ชาร์เจอร์ ที่มีลักษณะเฉพาะด้วยการออกแบบพัดลมอัดอากาศแบบ 4 ใบพัด แต่มีระบบการทำงานที่เงียบมากขึ้น และให้สมรรถนะที่สูงขึ้น ขณะที่ระบบอัดอากาศซูเปอร์ชาร์เจอร์ตัวนี้มีปริมาตรอยู่ที่ 2.3 ลิตร ซึ่งใหญ่เพียงพอสำหรับการอัดปริมาณอากาศจากรอบการหมุนที่สูงของใบพัด โดยมีแรงดันในการอัดอากาศเข้าเครื่องยนต์สูงถึง 0.72 บาร์ และซูเปอร์ชาร์จเจอร์ตัวนี้ยังทำงานร่วมกับระบบหล่อเย็นที่จะช่วยลดอุณหภูมิของอากาศที่จะพุ่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

“ความลงตัวจาก ปริมาตรขนาดใหญ่และพัดลม 4 ใบพัด ทำให้ซูเปอร์ชาร์เจอร์รุ่นนี้ให้สมรรถนะสูง เพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ได้มากขึ้นที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ และทำให้เครื่องยนต์เดินเรียบตลอดทุกย่านความเร็ว ในรอบต่ำเครื่องยนต์ก็ให้แรงบิดสูงมาก และเครื่องยนต์ก็มีกำลังมากในช่วงรอบเครื่องยนต์สูงจากการทำงานของซูเปอร์ชาร์เจอร์ มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับการทำงานของมัน” มร.ไวน์การ์เด้นกล่าว

เชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซีอาร์วัน วางเครื่องยนต์ด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง เมื่อยกฝากระโปรงหน้าก็จะได้เห็นเครื่องยนต์ LS9 ที่วางไว้อย่างเรียบร้อยเนียนตา ขณะเดียวแม้จะปิดฝากระโปรง ก็ยังมีการออกแบบเจาะฝากระโปรงพร้อมปิดด้วยโพลีคาร์บอเนทแบบใส เพื่อให้สามารถมองเห็นเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้ แม้จะปิดฝากระโปรง

รายละเอียดเครื่องยนต์ LS9
เครื่องยนต์ LS9 ได้รับการออกแบบอย่างมีลักษณะเฉพาะ มีความประณีต และสามารถรองรับสมรรถนะสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากการออกแบบเสื้อสูบด้วยอะลูมิเนียม ปลอกหุ้มลูกสูบทำจากเหล็ก ใช้เพลาข้อเหวี่ยงโลหะแบบสลักเกลียว 9 สลัก เชื่อมก้านสูบกับลูกสูบอะลูมิเนียมด้วยไทเทเนียม ฝาสูบถูกออกแบบให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ขนาด 55 มิลลิเมตร วาล์วไอดีทำจากไทเทเนียม ท่อวาล์วขนาด 40.4 มิลลิเมตร ส่วนวาล์วไอเสียใช้โลหะธาตุโซเดียม LS9 ยังใช้เพลาลูกเบี้ยวขนาดใหญ่ 14.1 มิลลิเมตร ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีเยี่ยมในรอบเดินเบา และการขับขี่ในย่านความเร็วต่ำ อ่างน้ำมันเครื่องมีปริมาตรถึง 9.9 ลิตร
# # #

ข้อมูลทางเทคนิคของเครื่องยนต์ LS9
แบบ LS9 ซูเปอร์ชาร์จ วี 8 สูบ 6.2 ลิตร
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี): 6,162
กระบอกสูบ/ช่วงชัก (มม): 103.25 / 92
เสื้อสูบ: อะลูมิเนียม
ฝาสูบ: อะลูมิเนียม
วาล์ว: ฝาสูบเดี่ยว 2 วาล์ว : 1 สูบ
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง: SFI (sequential fuel injection) จ่ายเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนหัวฉีด 1 หัว ต่อ 1 สูบ และ 1 วงจรจุดระเบิด 1 วงจร ต่อ 1 หัวฉีด ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ลดปริมาณมลพิษ และให้กำลังมากขึ้น
อัตราส่วนกำลังอัด: 9.1:1
กำลังสูงสุด: 638 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (นิตันเมตร): 819 ที่ 3,800 รอบ/นาที
ความเร็วสูงสุด 330 กม. / ชม. (โดยประมาณ)
วัสดุท่อส่งไอเสีย: สเตนเลส
วัสดุฝาแบริ่ง: เหล็ก
วัสดุเพลาข้อเหวี่ยง: เหล็ก
วัสดุเพลาลูกเบี้ยว: เหล็กกลวง ขนาด 14.1 มิลลิเมตร
วัสดุจุดยึดก้านสูบ: ไทเทเนียม
วัสดุวาล์ว: วาล์วไอดี: ไทเทเนียม
วาล์วไอเสีย: เหล็ก
ตัวยกกระเดื่องวาล์ว: ระบบไฮดรอลิค
รุ่นซูเปอร์ชาร์เจอร์: R2300 แบบ 4 ใบพัด ขนาด 2.3 ลิตร

แคมเปญพิเศษ สำหรับ E-Class




18 มิถุนายน 2551

ress Information

เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุกตลาดต่อเนื่องจัดแคมเปญพิเศษ

สำหรับ E-Class

โอกาสดีที่สุดในการเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class หลากรุ่นได้ง่ายขึ้น
โอกาสดีที่สุดที่จะได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมที่เพียบพร้อมทั้งสมรรถนะ และประหยัด
ไม่อาจรอด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือน และข้อเสนออื่นๆ ให้เลือกจนพอใจ
E 200 KOMPRESSOR ELEGANCE เลือกผ่อนเริ่มต้นเพียง 35,500/เดือน หรือ

ขับฟรี 2 เดือน

กรุงเทพฯ -- บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ (ประเทศไทย) จัดแคมเปญโดนใจผู้ที่กำลังอยากเป็นเจ้าของยนตรกรรม E-Class หลากรุ่นอีกครั้ง ฉลองในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของบริษัทฯ ด้วยข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดพิเศษจนไม่อาจรอเฉพาะผู้ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ตั้งต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2551

สำหรับแคมเปญที่จะทำให้คุณไม่อาจรอได้นี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ตั้งใจและอยากครอบครองเป็นเจ้าของสุดยอดยนตรกรรมอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ และความประหยัดน้ำมันที่คุณต้องทึ่ง โดยทางบริษัทฯได้ยกขบวน E-Class ทุกรุ่นมาให้คุณเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอสุด เย้ายวนใจ อาทิ E 200 KOMPRESSOR ELEGANCE, E 220 CDI AVANTGARDE, E 230 2.5 AVANTGARDE, E 280 3.0 AVANTGARDE Sports

พบกับข้อเสนอเด่นๆ ที่เรียงแถวมาให้เลือกจนไม่อาจรอได้ อย่าง Hire Purchase อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 60 เดือน Drive Free ขับฟรีนานถึง 3 เดือน หรือจะผ่อนเริ่มต้นเพียง 35,500 กับโปรแกรม Star Choice และ คุ้มค่ากับสิทธิประโยชน์ทางภาษีค่าเช่าเพียง เดือนละ 36,000 บาท ด้วย Lease Finance

เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เป็นยนตรกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหรูหราสง่างาม แต่แฝงด้วยอานุภาพแห่งพลังขับเคลื่อนโดยมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์แบบเบนซิน ดีเซล และที่สามารถใช้ได้ทั้งเบนซิน และก๊าซธรรมชาติ ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดและสมบูรณ์แบบด้วยระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE

พลาดไม่ได้กับโอกาสที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของหนึ่งในยนตรกรรมในฝันของใครหลายคนอย่างรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ได้ง่ายๆ ด้วยเงื่อนไขที่หลากหลายและไม่เคยมี มาก่อน สอบถามรายละเอียดได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ณ บัดนี้ จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2551

วอลโว่ C30 มาดใหม่




ออกแบบ วอลโว่ C30 ในแบบของคุณ
ด้วยฟิล์มตกแต่งรถยนต์ลายเก๋ไม่ซ้ำใคร

กรุงเทพฯ, บัดนี้ผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ C30 ใหม่ สามารถเลือกตกแต่งรถด้วยลวดลายที่โฉบเฉี่ยวกว่า 20 แบบ ไม่ว่าจะเป็นหลังคาลายหมากรุกหรือลายผีเสื้อสักฝูงบนฝากระโปรงหน้า รถลายทางหรือลายจุดสักคัน

ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน วอลโว่ คาร์ ในประเทศสวีเดน กลายเป็นแบรนด์รถยนต์รายแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อรถคันใหม่ในประเทศสามารถเลือกติดฟิล์มตกแต่งบนตัวถังรถยนต์ได้ โดยทีมดีไซเนอร์ของ วอลโว่ใช้ความคิดสร้างสรรค์กันสุดเหวี่ยงในการคิดค้นลายเท่ๆ อาทิ ลายม้าลาย หรือภาพตัวเมืองแบบพาโนรามาประชันกับสายรุ้งฝน ลายแผ่นไม้ ลายเปลวไฟ และลายก้อนเมฆ

ขณะเดียวกัน ฟิล์มติดรถยนต์ซึ่งสามารถลอกออกได้นี้ ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น หากแต่ยังช่วยปกป้องรถยนต์ด้วย แผ่นฟิล์มนี้รับประกันความทนทาน 2 ปี โดยหลังจากนั้น เจ้าของรถสามารถลอกออก หรือเปลี่ยนเป็นลายใหม่ๆ ได้ เมื่อติดฟิล์ม สีตัวถังจะได้รับการปกป้องจากสภาวะอากาศ ลม และความเสี่ยงของการเกิดริ้วรอยขีดข่วน

ปกติแล้วฟิล์มติดรถยนต์ลักษณะนี้ มักใช้ตกแต่งเพื่อการโฆษณาและการสั่งทำพิเศษเท่านั้น ทว่าตอนนี้โอกาสเปิดกว้างสำหรับลูกค้าทุกคน

วอลโว่ C30 เป็นตัวเลือกแรกที่เรานำเสนอ เพราะรถยนต์รุ่นนี้ผลิตขึ้นเพื่อกลุ่มเป้าหมายคนเมือง ที่รักแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มที่สนุกกับการขับรถที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร รถติดฟิล์มแบบนี้สะดุดตาทุกคนเมื่อวิ่งบนถนน ทั้งยังเป็นหนทางที่ยอดเยี่ยมในการปกป้องสีของตัวถังรถ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่ปรับโฉมได้ตามชอบใจอีกด้วย”มร.โธมัส แอนเดอส์สัน ประธานบริหาร วอลโว่ Personbilar Sverige AB กล่าว

ในความเป็นจริงลูกค้าที่ซื้อรถ C30 ทุกคน มีทางเลือกมากมายในการตกแต่งรถอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องการตกแต่งภายใน อุปกรณ์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ บัดนี้ยังสามารถปรับแต่งรูปโฉมภายนอกได้อีกด้วย

พูดไปก็เท่ากับว่ามีรถยนต์วอลโว่ C30 ให้เลือกมากถึง 12,314 แบบ ซึ่งฟังดูเหมือนยากกว่าความเป็นจริง เราจึงจัดโครงสร้างเว็บไซด์ของเราให้ลูกค้าสามารถสร้างรถของตนเองได้ตามใจปรารถนาออนไลน์ ส่งผลให้ได้รถที่โดดเด่นไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง มร.แอนเดอส์สัน กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจวอลโว่ C30 สามารถลองออกแบบรถยนต์ด้วยตัวคุณเองได้ที่เว็บไซต์ http://www.volvoc30.se ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์มาเป็นพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

การติดฟิล์มตกแต่งรถยนต์สำหรับวอลโว่ C30 รวมค่าแรงแล้ว มีมูลค่า 18,750 โครนาสวีเดน

21 มิ.ย. 2551

E85 อนาคตพลังงานชาติ ทางเลือก ทางรอดของไทย




ชมรมพลังงานไทยทำ ไทยใช
(The Coalition for Energy Sustainability and Security for Thailand - ESST) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ จากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนที่สามารถผลิตหมุนเวียนได้ในประเทศ จัดงานเสวนาในหัวข้อ “E85 อนาคตพลังงานชาติ ทางเลือก ทางรอดของไทย” ที่ห้องโลตัส 1 และ 2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีผู้เข้าร่วมการเสวนาได้แก่

1. ดร.วิจิตร ศรียรรยงวัฒน์ นายกมูลนิธิสถาบันพืชพลังงานทดแทน
2. นายมานะ ฤทธิชัยสมาจาร นายกสมาคมชาวไร่อ้อยสี่แคว นครสวรรค์ และประธานสหกรณ์การเกษตรชาวไร่อ้อยสี่แคว
3. นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมผู้ผลิตเอทานอลไทย
4. นายธิบดี หาญประเสริฐ ประธานชมรมพลังงานไทยทำ ไทยใช้ และรองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทดแทน เอทานอล-ไบโอดีเซล แห่งประเทศไทย
5. นาวาเอก ดร.สมัย ใจอินทร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
6. นายประวิทย์ ประกฤตศรี ตัวแทนจากสมาคมผู้ผลิตน้ำตาลและชีวพลังงานไทย

ทั้งนี้ โดยมี นายมนูญ ศิริวรรณ อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเป็นผู้ดำเนินการเสวนา

การเสวนาเริ่มต้นขึ้นโดยนายมนูญ กล่าวเปิดประเด็นว่า พลังงานทดแทนเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจตอนนี้ และมีอยู่หลายประเภท ตั้งแต่แก๊สโซฮอล์ E10 E20 E85 หรืออาจจะถึง E100 แต่สิ่งที่จะเจาะลึกกันวันนี้คือเอทานอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง E85 ถ้าเราจะเอา E85 มาใช้กัน มันจะเป็นทางรอดจริงๆ หรือไม่ มีปัญหาในด้านใดบ้าง ผลิตเอทานอลได้เพียงพอหรือเปล่า ผลประโยชน์ลงไปที่เกษตรกรจริงๆ หรือไม่

นายธิบดี หาญประเสริฐ ประธานชมรมพลังงานไทยทำ ไทยใช้ และรองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทดแทน เอทานอล-ไบโอดีเซล แห่งประเทศไทย เริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่หลายคนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับแก๊สโซฮอล์ว่า E10 มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าเบนซินธรรมดาอยู่ที่ 2-3% ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดเครื่องยนต์รถ และพฤติกรรมการขับ E20 อยู่ที่ 6% ส่วน E85 อยู่ที่ 26% ซึ่งทุกที่ในโลกยอมรับว่า แก๊สโซฮอล์ให้อัตราการสิ้นเปลืองมากกว่าจริง แต่สิ่งที่คนไม่พูดถึงคือ ประสิทธิภาพของเชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ให้กำลัง ให้แรงบิดที่มากกว่าเบนซินธรรมดา 3%

เรื่องสิ่งแวดล้อม และคุณสมบัติทางเคมี เมื่อผสมเอทานอลเข้าไป แรงดันการระเหยมีจริง แต่เมื่อผสมเยอะสิ่งนี้จะต่ำลง และช่วยลดสัดส่วนของ emission มากขึ้นอีกเยอะ

หากจะจัดโครงสร้างราคาให้เหมาะสม สำหรับแก๊สโซฮอล์ E10 E20 และ E85 ควรอยู่ที่ 4 บาท 6 บาท และ 15 บาทตามลำดับ (เทียบจากราคาเบนซิน 95 อยู่ที่ 40 บาทต่อลิตร)

ในส่วนของรถจักรยานยนต์ หลายคนสงสัยนายธิบดีตอบว่า จักรยานยนต์ใช้ E10 ได้แน่นอน เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะหมดแล้ว ส่วนแก๊สโซฮอล์ประเภทอื่นๆ ทั้ง E20 E85 หรือแม้กระทั่ง E100 ก็สามารถใช้ได้โดยการปรับตั้งเครื่องยนต์ ทว่ายังใช้ได้ตามที่ตั้งปรับ ไม่สามารถใช้ได้แบบเครื่องยนต์ Flexifuel อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ หากใช้ E85 ในจักรยานยนต์ จะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมได้มากทีเดียว เพราะควันขาวของจักรยานยนต์มีอันตรายยิ่งกว่าควันดำของรถบรรทุกอีก

ในส่วนของค่ายรถยนต์ ธิบดีมีความเห็นว่า เรื่องเทคโนโลยีเอทานอลหรือ E85 หลายยี่ห้อก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร เพราะเคยมีที่บราซิล หลายประเทศก็เริ่มไปแล้ว บ้านเราเน้นส่งเสริมเรื่องการประกอบรถยนต์ในประเทศ ความพร้อมเรื่องชิ้นส่วนยานยนต์ในการผลิต แต่ละบริษัทใช้เวลาสั้นยาวต่างกัน เริ่มแรกคงต้องนำเข้าก่อน ซึ่งรัฐคงต้องดูเรื่องความสมดุลตรงนี้ให้ดี เพราะถ้าไปถามบริษัทรถยนต์ จะได้คำตอบที่ไม่เหมือนกันทุกที่ สำคัญที่สุดคือ นโยบายรัฐต้องชัดเจนก่อน

ส่วนที่มีถามมาว่า ค่ายยักษ์ใหญ่เอาด้วยหรือเปล่าเรื่องนี้ ผมคลุกคลีกับเขาอยู่ตอบได้เลยว่าเอาด้วยแน่นอน แต่เขาขอเวลาหน่อย ในเมื่อแต่ละค่ายพร้อมไม่เท่ากัน รัฐก็ต้องกำหนดกติกาที่เป็นธรรมกับทุกคน วัสดุเราพร้อมอยู่แล้ว อย่างน้อย 6 เดือน หรือปีนึงถึงจะเกิดได้ ต้องใช้เวลา ส่วนตัวผมเชื่อว่า ต้องสร้างที่ดีมานด์ก่อน หากรัฐกำหนดเป็นกฎหมาย เกษตรกรก็จะกล้าปลูก กล้าทำกัน เมื่อทุกคนลงไปเล่น การวิจัยพัฒนา การส่งเสริมก็จะเพิ่มมากขึ้น อ้อยอาจไม่ต้องเพิ่มพื้นที่ แต่เพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งถ้าจะเพิ่มผลผลิต ก็ต้องทำให้ดีมานด์มีพอกัน ไม่งั้นก็เหลือ

ประเด็นเรื่องไบโอดีเซลก็ยังต้องพูดอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างสมดุลเรื่องการบริโภคดีเซลและเบนซิน เพราะถ้าดีเซลยังใช้มาก เราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบเข้ามาเท่าเดิม รัฐต้องเป็นกรรมการตัดสินอย่างยุติธรรมกับชาติ อย่างน้อยต้องออกเป็นพรบ.เหมือนสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่า 2552 จะต้องผลิต 350 ล้านลิตรต่อวัน

ประเด็นอีโค-คาร์กับ E85 ไปด้วยกันได้ไหม นายธิบดีตอบว่า แรกเริ่มอีโค-คาร์ต้อง 20 กม./ลิตร แต่ E85 สิ้นเปลืองกว่าเบนซิน 25-30% มันก็เป็นได้ยากที่จะตัวเลขเท่านั้นได้ มองในแง่การตลาดของบริษัทรถยนต์ ในเชิงลึกแม้อนุมัติโครงการแล้ว แต่ถ้าบริษัทจะปรับมาใช้ E85 ก็สามารถทำได้เพราะน้ำมันราคาถูกกว่า ถ้าปรับมาใช้ได้ก็ยิ่งดี

ประเด็น E100
เราเคยพยายามจะนำเสนอให้ยกเลิกเบนซิน 95 แต่ก็ยังมีผู้ใช้อยู่ล้านกว่าลิตรที่ไม่ใช้แก๊สโซฮอล์ เนื่องจากไม่เชื่อมั่น ส่วน 91 ยังมีคนใช้อยู่ 10 ล้านลิตร ดูเหมือนง่าย แต่หากไปใช้ E10 91 ทั้งหมดจะกระทบต้นทุนโรงกลั่น ก็ต้องให้เวลาทางโรงกลั่นในการปรับกระบวนการผลิต ส่วนการใช้ E85 ก็คงต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีกหน่อย เพราะถ้าจะลดการกลั่น ดีเซลที่กลั่นได้ก็ลดลงด้วย ก็ต้องคุยกันอีกเยอะ

รถที่ใช้คาบูเรเตอร์มีอยู่ 57,000 คัน โจทย์คือ 17,000 คันเท่านั้นที่ไม่สามารถจูนเครื่องมาใช้เบนซิน 91 ได้ สถิตินี้บอกว่า รถพวกนี้อายุเกิน 15 ปีหรือเปล่า แล้วเค้าเปลี่ยนเครื่องไปใช้หัวฉีดหรือเปล่า ซึ่งผมเชื่อว่า มีแค่ 3,000-4,000 คัน คิดเป็น 0.001% เท่านั้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟันธงไปเลยว่าจะเลิกไปเลยไหม ไม่ยังไงก็ให้ปตท.นำเข้ามาขายเฉพาะ ราคาแพงหน่อยก็ว่ากันไป เจ้าของรถโบราณก็มีเงินกันอยู่แล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะเห็น E85 เมื่อไร ธิบดีตอบว่า ปีครึ่งก็เห็นแล้วแบบไม่เป็นทางการ อยู่ที่รัฐบาลไทยต้องชัดเจนจริงๆ

นาวาเอก ดร.สมัย ใจอินทร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ปีนี้เราประมาณกันว่า เรานำเข้าน้ำมัน 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตอนนี้เรามีส่วนแบ่งการใช้เอทานอล คิดเป็น 3.8% ในเวลา 10 ปีที่เราผลักดันกันมา แต่ในบราซิลนับตั้งแต่ปี 1977 ที่เขาเริ่มต้นทำกัน ตอนนี้ของบราซิลคิดเป็น 45% แล้ว สิ่งที่ยังขาดในบ้านเราคือเรื่องกฎหมาย กรณี E85 ตอนนี้เหมือนมือหนึ่งไปทางหนึ่ง อีกมือไปอีกทาง เหมือนคนกำหนดนโยบายยังไม่รู้และเข้าใจจริงๆ

อันที่จริงถ้าเราทำ E85 ไม่ต้องกลัวว่าน้ำตาลจะแพงเลย ถ้าทำจริงๆ น้ำตาลจะถูกด้วยซ้ำไป อาหารก็ไม่ขาดแคลนด้วย การผลักดันเรื่องเอทานอล เป็นเรื่องที่เราทำเพื่อภาคเกษตรเป็นสำคัญ เนื่องจากคนกว่า 30 ล้านคนในประเทศยังอยู่ในภาคเกษตร

เรื่อง E85 ทุกค่ายที่ขายรถยนต์ในบราซิล มี E100 เนื่องจากบราซิลไม่ต้องนำเข้าน้ำมันเลย 45% มาจากการปลูกขึ้นมา ส่วนอีก 55% มาจากการขุดน้ำมันได้หน้าบ้านตัวเอง ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์มีองค์ความรู้อยู่แล้ว E85 เกิดในประเทศไทยได้แน่นอน

กรณีที่มีข้อสงสัยว่า การผลิตเอทานอล/แก๊สโซฮอล์ใช้พลังงานสูงกว่าพลังงานที่แก๊สโซฮอล์ให้ ขอตอบว่าไม่จริง ถ้าเทียบกับน้ำมัน น้ำมันขุดจากซาอุดิอาระเบีย ขึ้นมาเก็บ ขนส่งมาบ้านเรา ก็ใช้พลังงานเยอะเหมือนกัน ยังไงๆ ประเทศไทยก็ได้กำไรประมาณ 7 เท่า เพราะตอนปลูกมันสำปะหลังหรืออ้อยก็ใช้คน ตอนเลี้ยงใช้เทวดา (ธรรมชาติ) ตอนเก็บเกี่ยวก็ใช้คน ไม่ได้ใช้น้ำมันพูดง่ายๆ ว่า จริงๆ ต้องคิดเปรียบเทียบกับในภาพรวมตั้งแต่ต้นจนจบแล้วเราจะเห็นภาพว่า มันไม่จริง เรื่องอาหารโลกขาดแคลน ก็ไม่ต้องคิดเลย

ดร.สมัยเสริมประเด็นอีโค-คาร์กับการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 ว่า ถ้าจูนจริงๆ เชื่อว่า อาจจะได้ ในอัตรา 20 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อสำคัญคือ เราต้องมีการตัดสินใจทางการเมืองที่แน่วแน่ ออกมาเป็นกฎหมายให้ชัดเจน อย่างในสหรัฐผลักดันพลังงานด้วยกฎหมายในทุกรัฐ แคลิฟอร์เนียกฎหมายเรื่องสิ่งแวดล้อมหนักหนาสาหัสกว่าเรามาก

นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมผู้ผลิตเอทานอลไทย กล่าวว่า ข้อสงสัยในเรื่องที่ว่า เราจะมีเอทานอลเพียงพอต่อการผลิต E85 หรือเปล่า ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล ถ้าขึ้นผลิตครบทุกโรงงาน เราจะมี 49 โรงงาน ต้องบอกว่าพอ และเหลือด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ในสภาพความเป็นจริง โรงกลั่น ผู้ผลิตรถ ผู้ใช้รถ ก็ต้องไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้ 11 โรงงานผลิต 1.575 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งที่ความต้องการในประเทศยังแค่ 7 ลิตรต่อวันเท่านั้นเองต่อวันตอนนี้ เราก็เลยต้องส่งขายทางอื่น

ต้องบอกว่า การเลือกส่งเสริม E85 นั้นมาถูกทางแล้ว แต่ปัญหาคือ กฎหมายยังกำหนดให้เอทานอล ต้องขายให้โรงกลั่นน้ำมันอยู่ ดังนั้นเราต้องเปิดเสรีการขาย ภาพการผสมน้ำมันกับเอทานอลต้องเปลี่ยน เราอาจจะตั้งโรงงานผสมที่หัวเมือง ให้ใกล้โรงเอทานอล หรือเปิดให้ผู้ค้าเอทานอลสามารถแป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้ ไม่อย่างนั้นการขนส่งเอทานอล 85% ไปให้ผู้ผลิตน้ำมัน ค่าขนส่งต้องเพิ่มขึ้น

หากราคาเบนซิน 95 อยู่ที่ 40 บาทต่อลิตร ถ้าตั้งราคา E85 ที่ 25 บาท การจะทำให้ E85 ไปรอดก็อยู่ที่โครงสร้างราคาเอทานอลนี่แหละ โครงสร้างราคาที่ว่า หมายรวมถึงสัดส่วนของราคาของแต่ละภาคส่วน ตั้งปต่ผู้ผลิตเอทานอล ผู้ผลิตน้ำมัน ผู้ขายน้ำมัน โครงสร้างราคาต้องได้รับการกำหนดอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

การจัดเก็บภาษี 2.575 บาทต่อลิตรสำหรับเอทานอล ในเมื่อรัฐบาลบอกว่า ภาษีของเอทานอลที่ใช้เชื้อเพลิงไม่เก็บ มันก็ควรลดลงมาอยู่ที่ 0.55 บาท

ทั้งนี้ หากจะจริงจังกับ E85 รัฐต้องดูแลพื้นที่การปลูกพืชไร่ให้ดีๆ จัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัว อีกเรื่องหนึ่งคือ กฎหมายจัดการเอทานอลยังไม่มีชัดเจน เพราะเอทานอลยังถือว่าอยู่ในหมวดสุรา จึงมีกรมสรรพสามิตดูแล เป็นไปได้ควรมีกฎหมายเกี่ยวกับเอทานอลโดยเฉพาะ

นายสิริวุทธิ์ยังย้ำว่า เรามีพอกินอยู่แล้วสำหรับการผลิตน้ำตาล เรื่องน้ำตาลขาดไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เราควรจะห่วงเรื่องที่ต้องนำเข้าน้ำมันเข้ามามากกว่า

นายประวิทย์ ประกฤตศรี ตัวแทนจากสมาคมผู้ผลิตน้ำตาลและชีวพลังงานไทย กล่าวว่า ผู้ผลิตเอทานอล 11 รายมีกำลังผลิต 1.5 ล้านลิตร 10 รายมาจากโรงงานน้ำตาล อีกรายเป็นมันสำปะหลัง

ในส่วนของราคาน้ำตาล ที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกไม่สูง เพราะน้ำตาลมีเหลือ บราซิลผลิตเอทานอลเป็นหลักแล้วได้น้ำตาลเป็นผลพลอยได้เหลือขาย ราคาในตลาดโลกจึงไม่ขยับมาก อัตราการบริโภคน้ำตาลตอนนี้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะกระแสสุขภาพมา แนวโน้มจะน้อยลงด้วยซ้ำ

บราซิลเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นอิสระต่อราคาน้ำตาล เนื่องจากอุตสาหกรรมได้รับการพัฒนามาก รถยนต์รุ่นแรกๆ ที่ดัดแปลงเพื่อใช้เอทานอลอย่างเดียวล้วนๆ ต่อมาจึงเกิดเทคโนโลยี FFV ขึ้น ปรับระบบให้รับกับสัดส่วนของน้ำมันอย่างเหมาะสม ส่วนตัวเชื่อว่า เทคโนโลยี FFV เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ประสิทธิภาพในการเผาไหม้และการผลักดันลูกสูบของ E85 ดีกว่าเบนซินธรรมดามาก ที่สำคัญช่วยประเทศ ช่วยชาวไร่ได้มากทีเดียว หากมีเทคโนโลยีดีพอ ก็ช่วยเพิ่มผลผลิตได้

คุณประวิทย์มีความเห็นเพิ่มเติมว่า E20 อาจจะกลายเป็นเชื้อเพลิงพื้นฐานในอนาคตได้ ส่วน E85 ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนไทย

นายมานะ ฤทธิชัยสมาจาร นายกสมาคมชาวไร่อ้อยสี่แคว นครสวรรค์ และประธานสหกรณ์การเกษตรชาวไร่อ้อยสี่แคว ในฐานะตัวแทนผู้ผลิตอ้อย คิดว่า E85 เป็นทางรอดแน่นอน ในส่วนของภาคเกษตรกร ผลที่เกิดขึ้นกับภาคเกษตรคือ มันเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ มันเป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสใน 2 ด้าน ทั้งทางด้านพลังงานและเกษตร

อ้อย เป็นพืชพลังงานตัวจริง ไม่มีผลกระทบต่อเรื่องอาหารแน่นอน เราผลิตน้ำตาลในไทย 7.8 ล้านตัน บริโภคในประเทศ 2 ล้านตัน ที่เหลือส่งออก เป็น top-3 ของโลก แต่ตัวเกษตรกร จน และมีหนี้อยู่ 24,000 ล้านบาท แต่ E85 จะเป็นโอกาสที่ดีของเรา เป็นการบริหารอุปทานส่วนเกินที่มีอยู่

ถ้าเราผลิตเอทานอลได้ตรงนั้น ผลิตน้ำมันได้ตรงนั้น ก็ไม่ต้องขนส่งไปขนส่งมา เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ ของการแก้ไขเรื่องพลังงาน แก้ไขปัญหาความยกาจน เรื่องพืชผลทางการเกษตรด้วย

- รัฐบาลควรนำบทเรียนในบราซิลมาศึกษาดู ไม่ควรมองมิติเดียวว่า ทำอย่างไรให้พลังงานราคาต่ำลง รัฐต้องมองด้วยว่า ภาคอื่นจะอยู่ได้ไหม ต้องดูท่อน้ำตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ประชาชน ผู้ผลิตเอทานอล ราคาต้นทุนวัตถุดิบเป็นไง ราคาน้ำมัน บราซิลส่งเสริมอุตสาหกรรมเอทานอลให้เกิดก่อน แต่ผมของมองว่า ให้ประชาชนอยู่บน ฐานสามเหลี่ยมด้านซ้ายเป็นผู้ผลิตเอทานอล ฐานขวาเป็นเกษตรกรผู้ผลิตอ้อย อยากให้รัฐบริหารสามเหลี่ยมด้านเท่านี้ให้สมดุล ไปรอดแน่นอน
- ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของผู้ผลิตน้ำตาล มาเชื่อมต่อเข้ากับผู้ผลิตเอทานอล จะช่วยเรื่องลอจิสติกส์ได้มาก อุตสาหกรรมอ้อย จะสามารถบิดผันไปเป็นอุตสาหกรรมเอทานอลได้
- ในเมื่อตลาดเรามีในเอเชียอยู่แล้ว และเราใช้เอทานอลเป็นรายแรกในภูมิภาค โอกาสในการชิงความได้เปรียบในการส่งออกเอทานอลในอนาคตก็มี

ดร.วิจิตร ศรียรรยงวัฒน์ นายกมูลนิธิสถาบันพืชพลังงานทดแทน กล่าวว่า E85 เป็นทางเลือกที่ดี ผู้มีส่วนที่จะช่วยผลักดันสำคัญก็คือ รัฐบาล ต้องสร้างให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ทั้งนี้ การผลักดัน E85 จะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อโรงกลั่นน้ำมัน ปีละ 20 ล้านลิตรที่เคยกลั่น ต้องลดกำลังลงถึง 17 ล้านลิตร การวางโรดแมพต้องชัดเจน ผู้ประกอบการน้ำมันก็ต้องการจัดการขนส่ง และการเบลนเอทานอลเข้าไปกับน้ำมัน มีการควบคุมไม่ให้เอาเอทานอลที่จะใช้ในการผลิตพลังงานไปใช้ในการผลิตสุราอย่างไม่ถูกต้อง (รั่วไหล)

ขณะเดียวกัน การมี E85 จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ทดแทน อยากให้รัฐบาลออกมาตรการอะไรออกมา ก็ควรเป็นไปตามกลไกจริงๆ ของตลาด ในทางปฏิบัติจริง ๆ เราทำได้อยู่แล้ว บริษัทน้ำมันอย่างปตท. ก็พร้อม แต่รัฐต้องกำหนดให้ชัดเจน กระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องช่วยกันดู เช่น กระทรวงพาณิชย์ก็ต้องกำหนดราคาที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญ รัฐบาลจะกำหนดอย่างไร ก็ควรให้เป็นอย่างนั้นชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะลำบากกับหลายฝ่าย

นายมนูญ ศิริวรรณ อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน และผู้ดำเนินรายการ เสริมในประเด็น E20 ว่า หากมี E85 เข้ามา ประเด็นเรื่องเครื่องยนต์ยังไม่เป็นปัญหามากนัก สถานีบริการน่าจะเป็นข้อจำกัดมากกว่า เพราะปั๊มต้องเปลี่ยนถังใหม่เลย

แต่ในอนาคต แต่ละปั๊มคงจะจำหน่ายครบทุกผลิตภัณฑ์ทุกที่ไม่ได้ ก็ต้องเลือกเอา ให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในย่านนั้น แปรตามลักษณะของลูกค้าในภูมิภาค ไม่จำเป็นต้องลงทุนเปลี่ยนถังถ้าไม่จำหน่าย E85 ทั้งนี้ขึ้นกับการขยายตัวของ E85 ด้วยว่าไปได้เร็วแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่า คงไม่เร็วนักเหมือน E20 ตอนนี้ที่ค่อยๆ ขยายไป

อีกทางเลือกหนึ่ง คือการผสมเอทานอล 5% แล้วบังคับเป็นกฎหมายให้เป็นเบนซินหลักเหมือนดีเซล B5 ก็ได้ อาจจะช่วยได้

เรื่อง E100 ในมุมของยานยนต์ชอบที่จะพัฒนามาเป็น E85 เพราะห่วงเรื่องการสตาร์ท เนื่องจากต้องอาศัยเชื้อเบนซินอยู่หน่อย ถ้าจะใช้ E100 ก็ทำได้ แต่ต้องมีรายละเอียด และอาจจะมีค่ายรถยนต์บางค่ายที่ยังไม่พร้อม แต่ E85 จะค่อนข้างพร้อมทุกเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น การเริ่มทำ E85 ทุกคนมีจุดที่เจ็บตัวเหมือนกันทั้งนั้น โรงกลั่นต้องกลั่นน้อยลง แต่ในแง่เทรดเดอร์เขาใช้เงินซื้อเอทานอลน้อยลง เพราะถูกกว่าน้ำมันดิบ แต่เรื่องการผลิตหรืออะไรก็ต้องดูกันไป

สรุปคือ E85 อาจจะเป็นทางเลือกไปก่อนในช่วงแรกๆ แต่ถ้าราคาน้ำมันขึ้นไปเรื่อยๆ E85 ก็คงเป็นทางรอดของพวกเราทุกคน

11 มิ.ย. 2551

MAZDA 3 ยอดขายเดือนเดียวทะลุ 431 คัน



มาสด้า3 ยอดขายเดือด
เดือนเดียวทะลุ 431 คัน

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 9 มิถุนายน 2551 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยยอดการจำหน่ายรถยนต์มาสด้าประจำเดือนพฤษภาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,181 คัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ที่สามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 431 คัน เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2548 เป็นต้นมา ซึ่งตลอด 2 เดือนที่ผ่านมามาสด้าโหมกิจกรรมทางด้านการตลาดอย่างต่อเนื่องโดยจัดแสดงโรดโชว์มาแล้วทั่วประเทศ ทำให้ยอดขายยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมาสด้า3 คว้ารางวัลต่าง ๆ จากทั่วโลกมาแล้วถึง 94 รางวัล รวมทั้งล่าสุดรางวัล “รถยอดเยี่ยมประจำปี 2551” ในประเภทแฮตช์แบคเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี ที่ประเทศไทยด้วย นอกจากนี้มาสด้ายังเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรองรับพลังงานทดแทนในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้จัดจำหน่าย ตลอดจนลูกค้ามาสด้า
มร. จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "มาสด้าทำสถิติยอดขายประจำเดือนพฤษภาคม 2551 ได้สูงเป็นประวัติการณ์ โดยรถยนต์นั่งมาสด้า3 ซึ่งยังคงความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องและยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก สามารถทำยอดขายรวมทั้งสิ้น 431 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นยอดขายที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นมา ในส่วนของรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 โฉมใหม่ที่มาพร้อมระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DE-S ก็ได้รับความสนใจอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าชาวต่างจังหวัด เช่นเดียวกับ Mazda MX-5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยมหลังคาเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าเร็วที่สุดในโลกก็สามารถทำยอดขายที่น่าพอใจ”
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "นอกจากยอดการจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม 2551 จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ยังนับว่าเราประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เนื่องจากมาสด้าได้ดำเนินการตลาดในเชิงรุก และเรามุ่งมั่นในการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า โดยเฉพาะการจัดงานแสดงโรดโชว์ทั้ง 12 จังหวัดทั่วประเทศ ลูกค้าให้ความสนใจและเข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก ความสนุกสนานและเสียงตอบรับจากลูกค้าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้งานประสบความสำเร็จในทุกๆจังหวัดที่เราจัดงาน ทั้งนี้มาสด้าจะยังคงเน้นสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและตรงตามกลุ่มเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นบทพิสูจน์ในการดำเนินการทางการตลาดที่มาถูกทาง และความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์และการสร้างการรับรู้ในคุณภาพของรถยนต์มาสด้า"


ดังนั้นโอกาสรับสิทธิพิเศษให้คุณเป็นเจ้าของรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์จากมาสด้าได้ง่ายขึ้น ด้วยโปรแกรมพิเศษสำหรับกลุ่มอาชีพเฉพาะผู้มีบัญชีเงินเดือนกับธนาคารกรุงไทย สำหรับรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 เงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.99 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 84 เดือน พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และเพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทางมาสด้ายินดีมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ที่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 รับสิทธิพิเศษมากมายเช่นกัน ให้คุณเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 775,900 บาท เงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเริ่มต้นเพียง 1.59 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 84 เดือน พร้อมความอุ่นใจตลอดการเดินทางรับฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงนานถึง 3 ปี สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของเงื่อนไขแคมเปญพิเศษนี้ได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ หรือ มาสด้า สปีดไลน์ โทรศัพท์ 0-2661-9880
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้ายานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้า ที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมทดลองขับก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ และรับข้อเสนอสุดพิเศษจากมาสด้าได้แล้ววันนี้
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแรง และรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค บางนา และที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 90 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

GM ชู E85 พลังงานทางเลือกใหม่ มีมลพิษต่ำ ลดต้นทุน การนำเข้าน้ำมัน


จีเอ็ม ชู “E85” พลังงานทางเลือกใหม่
มีมลพิษต่ำ ลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมัน


กรุงเทพ – “ในภาวะวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันดังเช่นปัจจุบัน E85 พลังงานทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาย่อมเยา และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในอนาคตอันใกล้” มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

จีเอ็ม และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในประเทศไทย ต่างเห็นพ้องต้องกันในการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิง E85 ซึ่งมีส่วนผสมของเชื้อเพลิงเอธานอล 85 เปอร์เซ็นต์ และนำมันปิโตรเลียม 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสะอาดมากกว่า ให้มลพิษต่ำ และช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้น เชื้อเพลิงเอธานอล E85 ยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนการผลิตต่ำอันเนื่องมาจากมีส่วนผสมของน้ำมันปิโตเลียมเพียง 15% ที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านการสร้างงานภาคการเกษตรอย่างมาก และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญยังเป็นการสร้างเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศอีกด้วย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมถึง 87 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในภาคการขนส่ง

เป็นเวลากว่า 7 ปีมาแล้วที่ประเทศไทยได้มีการนำพลังงานชีวภาพมาใช้ โดยในปี 2544 ประเทศไทยได้เริ่มใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มี เอธานอลเป็นส่วนผสม 10 เปอร์เซ็นต์ “จีเอ็ม อยากเห็นความตื่นตัวในการหันมาใช้รถยนต์ E85 ซึ่งเทคโนโลยีที่รองรับเชื้อเพลิง E85 นั้นมีความพร้อมอยู่แล้ว และรถยนต์ E85 ก็มีโอกาสมาวิ่งอยู่บนถนนในเมืองไทยในเวลาอันใกล้นี้ ตามความเป็นจริงแล้ว จีเอ็มหวังที่จะเปิดตลาดรถยนต์ E85 ภายใน 2-4 ปีนี้ ในปัจจุบัน จีเอ็ม มีอัตราการผลิตรถยนต์ E85 เพื่อจำหน่ายในตลาดโลกกว่า 400,000 คันต่อปี ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีรถยนต์ E85 ของจีเอ็มวิ่งอยู่บนท้องถนนถึงกว่า 2 ล้านคันทั่วโลก” มร.คาร์ไลส์กล่าวย้ำ

“ประเทศไทยนั้นได้เปรียบตรงที่ได้เริ่มพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญไปมากแล้ว เวลานี้จึงควรดำเนินการพัฒนางานชิ้นสำคัญนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง” มร. คาร์ไลส์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “การที่จะผลักดันเชื้อเพลิง E85 เข้าสู่ตลาดนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และผู้บริโภค เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ โดยภาครัฐควรให้การสนับสนุนในด้านการค้นคว้าวิจัย และควรพิจารณาการเพิ่มมาตรการจูงใจ เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยและเชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้”

ในประเทศไทย เชฟโรเลต ได้ริเริ่มแนวทางแก้ไขปัญหาระยะสั้นหลายประการ อาทิ รถยนต์เชฟโรเลต ออพตร้า
ซีเอ็นจี และรถกระบะเชฟวี่ โคโลราโด ซีเอ็นจี ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานก๊าซธรรมชาติแบบอัด ซึ่งเชฟโรเลต เป็นรายแรกและรายเดียวที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในประเทศอย่างแพร่หลายพร้อมรับรองความมั่นใจให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ นอกจากนี้แล้ว เชฟโรเลตยังวางแผนที่จะแนะนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงเอธานอล อี 20 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวในเมืองไทยได้ช่วงปลายปีนี้ และพร้อมที่จะดำเนินการการผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง อี85 ได้อย่างรวดเร็วหากว่าภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนและเหมาะสม

e-news จาก BENZ



http://www.asia.mercedes-benz.com/dsclight/dsclight_adapter.php?oap=on&OAPcountry=thailand&OAPmodule=enews-latest-th

5 มิ.ย. 2551

ทาทา ยัง ฟอร์ด แอมบาสเดอร์





แคมเปญ “ฟอร์ด โฟกัส ทาทา ยัง”

แคมเปญ “ฟอร์ด โฟกัส ทาทา ยัง” เป็นแคมเปญการตลาดแรก ที่เริ่มใช้ ฟอร์ด แอมบาสซาเดอร์คนแรกของเมืองไทย “ทาทา ยัง” ซูเปอร์สตาร์สาวที่มีคุณสมบัติเหมือนกับรถของฟอร์ด และเป็นตัวแทนฟอร์ดในการสร้างสีสันและความสุข เพื่อให้ "ทุกวันเป็นวันของคุณ" สำหรับลูกค้าฟอร์ดและผู้ที่ได้สัมผัสแบรนด์ฟอร์ดทุกคน ทั้งนี้ ทาทา ยัง เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายของฟอร์ดโฟกัส นั่น คือ คนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ที่เปี่ยมความสามารถ บุคลิกโดดเด่น มั่นใจ และเป็นตัวของตัวเอง

ก่อนที่จะเริ่มแคมเปญการตลาดอย่างครบวงจรนี้ ฟอร์ด ประเทศไทยได้มอบ ฟอร์ด โฟกัส TDCi สีน้ำเงิน Racing Blue ให้ศิลปินสาวสุดฮอต ใช้เป็นพาหนะคู่ใจ เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ประทับใจในการขับขี่ด้วยตนเอง หัวใจหลักในการสื่อสารแคมเปญนี้ จึงให้ทาทา ยัง เป็นผู้บอกเล่าประสบการณ์ประทับใจจากการได้ครอบครองและขับขี่ฟอร์ด โฟกัส ที่เธอได้สัมผัสกับ 3 จุดเด่นของฟอร์ด โฟกัส อย่างชัดเจน คือ
1. สมรรถนะการขับขี่ ที่สามารถควบคุมรถได้ดังใจคิด ไม่ว่าจะเข้าโค้ง เร่งแซง หรือเลี้ยวมุมใดๆ ก็มั่นใจด้วยเกียร์ธรรมดาระบบ 6-speed dual mass flywheel ของเครื่องดีเซล TDCi หรือ เกียร์ออโตเมติกระบบ automatic sequential sports shift ของเครื่องยนต์ E20 พร้อมทั้งระบบกันสะเทือนอิสระ 4 ล้อ การทรงตัวที่ดีเยี่ยม
2. ความปลอดภัย จากการออกแบบโครงสร้างที่ช่วยกระจายแรงกระแทกออกไปจากตัวห้องผู้โดยสาร อุปกรณ์และโครงสร้างด้านความปลอดภัยเต็มพิกัด เช่น ระบบเบรก ABS และ EBD, ถุงลมนิรภัย คานกันกระแทกด้านข้าง และระบบเข็มขัดนิรภัยดึงกลับอัตโนมัติ
3. ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง มีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน E20 ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตร ที่สามารถเติมได้ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน 95 แก๊สโซฮอล์ E10 และ แก๊สโซฮอล์ E20 และเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล TDCi แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,800 รอบ ต่อนาที ที่แรงและประหยัดน้ำมันหนึ่งเดียวในตลาดของรถระดับเดียวกัน

รูปแบบโฆษณา
ความคิดสร้างสรรค์ในการโฆษณาครั้งนี้ ได้ดึงบุคลิกอันโดนเด่นของทาทา ยัง ที่มีชีวิตชีวา เปี่ยมพลัง โฉบเฉี่ยวทันสมัย แสดงออกด้วยการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยพลัง เป็นองค์ประกอบหลัก ร่วมกับรถฟอร์ด โฟกัส พาหนะคู่ใจของทาทา ยัง เป็นภาพหลัก (key visual) ที่ใช้ในแคมเปญการสื่อสารนี้ รวมทั้งเส้นสายประกอบที่สื่อถึงการเคลื่อนไหว พุ่งทะยานได้ดังใจคิด ไม่ว่าจะบนท้องถนนหรือสนามแข่ง โดยใช้สีหลักของภาพแต่ละชุดให้สอดคล้องกับใจความสำคัญที่ต้องสื่อสาร เช่น สีเขียว ที่สื่อถึงความสดใส และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับโฆษณาที่สื่อถึงทางเลือกสำหรับเครื่องยนต์ของฟอร์ด โฟกัส ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 และเครื่องยนต์ดีเซลTDCi ที่ประหยัดน้ำมันสูงและ สีน้ำเงิน สื่อถึงความมั่นใจต่อประสิทธิภาพในการขับขี่และควบคุมฟอร์ด โฟกัสได้ดังใจ เปรียบเหมือนชุดสีน้ำเงินของนักแข่งทีมฟอร์ดในสนามระดับโลก และสีส้ม ที่สะดุดตาและเห็นได้ในระยะไกล และใช้ บนท้องถนนเพื่อเตือนให้ระวังเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นฟอร์ดจึงเลือกใช้เพื่อชูจุดเด่นเรื่องความปลอดภัยอันโดดเด่นและมีชื่อเสียงของฟอร์ดโฟกัส โดยภาพหลักนี้ได้นำมาประยุกต์ใช้กับทุกสื่อของแคมเปญสื่อสารดังกล่าว

การเลือกใช้สื่อ
เนื่องจากกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนเมืองที่ทำงานในออฟฟิศ และมีรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย จึงเลือกใช้สื่อผสมผสานแบบเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ได้แก่
1. วิทยุ – เน้นสถานีวิทยุของคนทำงาน คนเมือง โดยมีสปอตวิทยุ เป็นเสียงของทาทา ยัง คุยกับ วู้ดดี้ พิธีการชื่อดัง ในรูปแบบเพื่อนคุยกัน เพื่อเน้นถึงการแชร์ประสบการณ์การขับขี่ฟอร์ด โฟกัสจากผู้ใช้ให้กับเพื่อนๆ ที่สร้างความใกล้ชิด
2. รถไฟฟ้า – เป็นสื่อสมัยใหม่ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดสื่อหนึ่งในปัจจุบัน โดยฟอร์ดได้ทำการโฆษณาบนตัวรถไฟฟ้าภายนอกและโปสเตอร์ที่ติดภายในรถ รวมทั้งป้ายโฆษณาที่จุดขายตั๋วในทุกสถานี
3. ป้ายโฆษณา – ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี ขอนแก่น หัวหิน หาดใหญ่ และภูเก็ต โดยในกรุงเทพฯ ได้เลือกป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ที่ MBK ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีป้ายโฆษณาบนทางด่วนบริเวณแจ้งวัฒนะ และบางนา ที่มีผู้สัญจรผ่านเป็นจำนวนมาก
4. เว็บไซต์ – เป็นสื่อสมัยใหม่ที่เข้าถึงตัวกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน โดยฟอร์ดได้จัดป้ายโฆษณาบนเว็บไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายนิยมอ่าน เช่น ผู้จัดการออนไลน์ ฮอทเมล์ ไฮไฟฟ์ สนุกดอทคอม และสยามสปอร์ต
5. นิตยสารไลฟ์สไตล์ ชั้นนำ
6. โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ – นับเป็นจุดสำคัญที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของฟอร์ดจะได้สัมผัสประสบการณ์ทั้งแบรนด์ฟอร์ดและการทดลองขับขี่รถยนต์ของฟอร์ดอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนั้นฟอร์ด จึงเน้นการป้ายแบนเนอร์นอกโชว์รูม ป้ายแบนเนอร์และโปสเตอร์ต่างๆ และวีดิทัศน์ทาทา ยัง สำหรับโชว์รูม

แคมเปญส่งเสริมการขายพิเศษ "ฟอร์ด โฟกัส"
เพื่อตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานยุโรปของฟอร์ด โฟกัส และสร้างประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ บริษัทฯ นำเสนอ "แพ็คเกจ 5-5-5" คือ การรับประกันคุณภาพ 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ค่าบำรุงรักษาฟรี 5 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรี 5 ปี นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังกระตุ้นการตัดสินใจในการเป็นเจ้าของและสัมผัสประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจ บริษัทฯ จึงมอบ ดอกเบี้ย 0% และผ่อนสบายเริ่มต้นที่ 9,999 บาทต่อเดือน

นอกจากการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ แล้ว ฟอร์ดยังได้จัดกิจกรรมการตลาดอื่นๆ ได้แก่ การนำรถฟอร์ด โฟกัส จัดแสดงตามสถานที่ต่างๆ ที่เข้าถึงตัวลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เช่น อาคารสำนักงานย่านใจกลางธุรกิจ ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต สำนักงานหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อเพลิงทดแทน

กิจกรรมพิเศษ "ให้ทุกวันเป็นวันของคุณ" กับฟอร์ด แอมบาสเดอร์ ทาทา ยัง
เพื่อให้ทุกวันเป็นวันของคุณ แก่ครอบครัวฟอร์ด และสร้างความสุขความใกล้ชิดกับแบรนด์ฟอร์ด เราได้โปรโมชั่นพิเศษ ร่วม "งานปาร์ตี้คอนเสิร์ตกับทาทา ยัง" เอกสิทธิ์พิเศษมอบให้แก่ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์
ฟอร์ดทุกรุ่น ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ให้สมาชิกใหม่ของครอครัวฟอร์ดได้มีโอกาสเข้าชมคอนเสิร์ตสุดมันและพบปะกับของซูเปอร์สตาร์สาวทาทา ยังอย่างใกล้ชิด

GM ร่วมซับน้ำตาผู้ประสบภัยในจีนและพม่า


มอบเงินช่วยเหลือ
รวมกว่า 35.45 ล้านบาท



ดีทรอยต์ – บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส สหรัฐอเมริกา มูลนิธิเจนเนอรัล มอเตอร์ส และกลุ่มบริัษัทจีเอ็มในประเทศจีน ร่วมบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์ธรรมชาติในจีนและพม่า โดย จีเอ็ม ประเทศจีน ได้บริจาคเงินเป็นจำนวนกว่า 27.4 ล้านบาท (850,000 เหรียญสหรัฐฯ) เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในท้องที่เมืองเสฉวน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ด้านมูลนิธิจีเอ็มมอบเงินสมทบจำนวน 6.45 ล้านบาท (200,000 เหรียญหสรัฐฯ) สำหรับกองทุนฟื้นฟูภัยพิบัติในประเทศจีนของสภากาชาดอเมริกัน รวมทั้งยังบริจาคเงินกว่า 1.6 ล้านบาท (50,000 เหรียญสหรัฐฯ)ให้กับองค์การเวิล์ดฟู้ดโปรแกรมของสหประชาชาติที่จะนำไปช่วยเหลือเหยื่อพายุไซโคลนนาร์กีสในประเทศพม่า

นอกจากนั้น จีเอ็ม ยังได้ทำการจัดตั้งกองบริจาคเงินจากพนักงานจากทั่วโลกของบริษัทฯ เพื่อระดมความช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติในครั้งนี้ ส่วนทางมูลนิธิจีเอ็มก็จะมอบเงินสมทบส่วนที่พนักงานของจีเอ็มทั่วโลกร่วมบริจาคเพิ่มเติมให้ได้ถึง 3.22 ล้านบาท (100,000 เหรียญสหรัฐฯ) ให้แก่องค์กรการกุศลในข้างต้นอีกด้วย

รายงานข่าวล่าสุดแจ้งยอดผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งสองเหตุการณ์พุ่งสูงเป็นจำนวนเรือนแสนแล้ว ในขณะที่เหยื่อจำนวนหลายล้านคนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนยารักษาโรค น้ำดื่ม อาหาร และที่พักอาศัย

“เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความรุนแรงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น รวมทั้งขอไว้อาลัยให้กับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่ส่งผลกระทบกับผู้คนจำนวนมหาศาลจากเหตุการณ์ทั้งสอง” มร. ร็อด กิลลัม รองประธานบริหารของจีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น และประธานกรรมการ มูลนิธิจีเอ็ม กล่าวแสดงความเห็นใจต่อเหตุการณ์ชวนสลดใจครั้งนี้ “การให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและเต็มใจคือสิ่งที่พนักงานจีเอ็มได้ยึดถือและปฏิบัติมาเสมอในยามวิกฤตเช่นนี้ จีเอ็ม พร้อมที่จะยื่นมือช่วยเหลือในการจัดหาอาหาร น้ำสะอาดสำหรับดื่ม ยารักษาโรค รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เพื่อเยียวยาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยที่เดือดร้อนจากการขาดแคลนปัจจัย 4”

ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิจีเอ็ม สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์ของมูลนิธิจีเอ็ม ที่ www.gm.com/corporate/responsibility/

บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 77 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 266,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 35 ประเทศ ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.3 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadillac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) จีเอ็มแดวู (GM Daewoo) โฮลเด้น (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอเปิล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Sabb) แซเทิร์น (Saturn) ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) และวู่ลิง (Wuling) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.gm.com และ www.gmnext.com

4 มิ.ย. 2551

MAZDA ใจดีเติมน้ำมันฟรี 1,000,000 บาท




มาสด้าสวนกลับยุคน้ำมันแพง
เติมน้ำมันฟรี 1,000,000 บาท

พร้อมลุ้นรับรางวัลสูงถึง 547 รางวัล มูลค่ากว่า 2.3 ล้านบาท
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2551 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดแคมเปญสวนกระแสวิกฤตในยุคน้ำมันแพง ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษเพียงแวะโชว์รูมมาสด้าวันนี้ลุ้นรับน้ำมันเติมน้ำฟรี 1,000,000 บาท หูฟัง Bluetooth Plantronics จำนวน 500 รางวัล รางวัลละ 2,590 บาท มูลค่ารวม 1,295,000 บาท เพียงทดลองขับรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นรับทันที ร่ม ซูม-ซูม สุดเท่จากมาสด้า พร้อมลุ้นบัตรเติมน้ำมันฟรี รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านบาทโอกาสเดียวเท่านั้น ที่จะได้เป็นเจ้าของรถมาสด้าการันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับโลก เริ่มตั้งแต่วันนี้หมดเขตภายในวันที่ 31 กรกฎาคมศกนี้เท่านั้น
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงของวิกฤตจากค่าน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเกือบทุกวันมาสด้าตระหนักและเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายของลูกค้าในการดูแลบำรุงรักษารถยนต์ของลูกค้ามาสด้า มาสด้าจึงเตรียมจัดแคมเปญสุดพิเศษในโอกาสพิเศษตลอดเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมในช่วงฤดูฝน เพียงมาทดลองขับรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นรับฟรีทันทีไปเท่ก่อนใครแบบไม่ต้องลุ้นกับ "ร่ม ซูม-ซูม" อเนกประสงค์ มูลค่า 200 บาท โชคชั้นที่สองลุ้นรับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท จำนวน 20 รางวัล และที่สำคัญสำหรับลูกค้าที่จองซื้อรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นนอกจากจะได้รับเงื่อนไขสุดพิเศษแล้ว ยังจะได้ลุ้นรับบัตรเติมน้ำมันมูลค่าสูงถึง 500,000 บาท จำนวน 1 รางวัล บัตรเติมน้ำมันมูลค่า 50,000 บาท จำนวน 6 รางวัล บัตรเติมน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท จำนวน 20 รางวัล และหูฟัง Bluetooth Voyager 510 มูลค่า 2,590 บาท จำนวน 500 รางวัล รวมของรางวัลทั้งสิ้น 547 รางวัล รวมมูลค่าของรางวัลรวมทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านบาท โดยจะทำการจับฉลากผู้โชคดีในวันที่ 14 สิงหาคม และประกาศรายชื่อผู้โชคดีภายในวันที่ 20 สิงหาคมศกนี้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศและทางเว็ปไซต์ของมาสด้า http://www.mazda.coth
หลังจากที่มาสด้าตอกย้ำความเป็นยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตอย่างแท้จริงด้วยแคมเปญพิเศษ "ดับเบิ้ลเช็ค ดับเบิ้ลคุ้ม" ที่ให้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ฟรีถึง 30 รายการ พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่างๆมากมาย ตลอดเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมเดินสายโชว์สมรรถนะของระบบช่วงล่างอัจฉริยะของมาสด้า บีที-50 ไปทั่วประเทศ ได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้ความสนใจและสนับสนุนรถยนต์มาสด้ามาโดยตลอด มาสด้าพร้อมตอบแทนลูกค้าที่กำลังสนใจเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า ด้วยเงื่อนไขสุดพิเศษ และสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย สามารถสอบถามได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานมาสด้าทั้ง 90 แห่ง ทั่วประเทศ
นอกจากนี้มาสด้ายังขยายโอกาสรับสิทธิพิเศษให้คุณเป็นเจ้าของรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์จากมาสด้าได้ง่ายขึ้น ด้วยโปรแกรมพิเศษสำหรับกลุ่มอาชีพเฉพาะผู้มีบัญชีเงินเดือนกับธนาคารกรุงไทย ได้แก่ แพทย์. ทันตแพทย์, สัตวแพทย์, เภสัชกร, พยาบาล, ผู้พิพากษา, อัยการ, นักบิน, ผู้ตรวจสอบบัญชี สำหรับรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 ที่มาพร้อมระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DE-S เงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.99 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 84 เดือน พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และเพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทางมาสด้ายินดีมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี สำหรับรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ที่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 รับสิทธิพิเศษมากมายเช่นกัน ให้คุณเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 775,900 บาท เงินดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเริ่มต้นเพียง 1.59 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 7 ปี หรือ 84 เดือน พร้อมความอุ่นใจตลอดการเดินทางรับฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงนานถึง 3 ปี สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของเงื่อนไขแคมเปญพิเศษนี้ได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ หรือ มาสด้า สปีดไลน์ โทรศัพท์ 0-2661-9880
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้ายานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้า ที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมทดลองขับก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ และรับข้อเสนอสุดพิเศษจากมาสด้าได้แล้ววันนี้
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแรง และรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 90 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

ข้อเสนอแนะ จาก ฟอร์ด ประเทศไทย ในการพัฒนารถยนต์เทคโนโลยี E85


คำชี้แจง จาก FORD
ประเด็นเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก E85


สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเกี่ยวกับนโยบายพลังงาน E85 ในวันนี้ (3 มิ.ย.) บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย มีความเห็นว่า ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพยายามที่จะปรับตัวและแก้ปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาด้านพลังงาน ภาครัฐควรให้การสนับสนุนแก่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อเป็นแรงจูงใจกับผู้บริโภคอีกส่วนหนึ่งด้วย

ฟอร์ด ประเทศไทย ขอเสนอแนะว่า ในการพัฒนารถยนต์เทคโนโลยี E85 จำเป็นต้องมีการลงทุนในหลายด้าน รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการในการสนับสนุนแก่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

ฟอร์ด ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานทางเลือกที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในตลาดทั่วโลก ขอยืนยันให้ภาครัฐมีแนวนโยบายที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้บริโภคชาวไทยในการตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ E85 อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของชาติในอนาคต

VOLVO ผิดหวังนโยบายใหม่ E 85


 นโยบายภาษี E85 ไม่สนับสนุนผู้ผลิตรถในประเทศ

วอลโว่ได้สนับสนุนความต้องการในการใช้พลังงานทางเลือกอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานของประเทศไทย ด้วยความตั้งใจจริงมาโดยตลอด

จากจุดยืนดังกล่าว บริษัทฯ รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบถึงการตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ที่ประกาศออกมาในวันนี้ (3 มิ.ย.) นโยบายดังกล่าวไม่ได้ช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์ มีการส่งเสริมการนำเข้า การผลิตและพัฒนาเทคโนโลยี E85 ในประเทศไทย

นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ ประเทศไทยอาจสูญเสียโอกาสทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย

3 มิ.ย. 2551

อาวีวา โอเพ่น 2008


มาสด้าร่วมสนับสนุนการแข่งขันแบดมินตัน
ชิงแชมป์โลก

รายการ อาวีวา โอเพ่น 2008 ชิงเงินรางวัลกว่า 7 ล้านบาท
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 2 มิถุนายน 2551 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มาสด้าร่วมมือกับทั้งภาครัฐ และเอกชน ประจำประเทศสิงคโปร์ ร่วมจัดการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลกในรายการ "อาวีวา โอเพ่น สิงคโปร์ 2008" ในระหว่างวันที่ 10-15 มิถุนายนนี้ที่สนามสิงคโปร์ อินดอร์สเตเดียม (SIS) โดยมีนักแบดมินตันมือระดับโลกกว่า 250 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมชิงเงินรางวัลกว่า 200,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 ล้านบาท ที่สำคัญชาวไทยทุกคนอย่าลืมส่งแรงใจและแรงเชียร์ให้กับทีมนักกีฬาจากประเทศไทย นำโดยเจ้าซูเปอร์แมน บุญศักดิ์ พลสนะ แชมป์เก่ามือหนึ่งของทีมชาติไทย และคู่ผสม สุดเขต ประภากมล จับคู่กับ สราลีย์ ทุ่งทองคำ
นาวสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด, บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ถือเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมาสด้าในการสนับสนุนการตลาดแบบ “สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง” หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จในจัดกีฬาวอลเลย์บอลชายหาดใจกลางกรุงเทพมาแล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น และมีสีสัน ก่อให้เกิดประสบการณ์ “Zoom-Zoom Experience” ซึ่งเป็นแนวความคิดทางการตลาดของมาสด้า สำหรับการกลับมาในครั้งนี้มาสด้าได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันที่นับว่าเป็นรายการใหญ่แห่งปี นั้นคือการแข่งขันแบดมินตัน ชิงแชมป์โลก ในรายการ "อาวีวา โอเพ่น สิงคโปร์ 2008" ที่พร้อมระเบิดความมันส์ สะใจ และสนุกสนาน รวมทั้งมีนักแบดมินตันชื่อดังของประเทศไทย รวมทั้งเจ้าของตำแหน่งแชมป์เมื่อปีที่แล้ว "ซูเปอร์แมน" บุญศักดิ์ พลชนะ ก็จะเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับการให้การสนับสนุนในครั้งนี้มาสด้าได้นำเอารถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda3 Spirit เครื่องยนต์ 1600 ซีซี. ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกในเรื่องของดีไซน์และคุณภาพ มาเป็นพระเอกในการสนับสนุนงานครั้งนี้ รวมทั้งเป็นรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมชมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งการสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้มาสด้า คอร์ปอเรชัน โดยความร่วมมือกับมาสด้า มอเตอร์ (ประเทศสิงคโปร์) และมาสด้า เซ้าส์อีส เอเชีย รวมทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
"มาสด้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลายฝ่าย จะเป็นแรงผลักดันให้การแข่งขันครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ได้รับความสนใจจากแฟนแบดมินตันจากทั่วโลก สำหรับมาสด้าเราพร้อมที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมทุกประเภทที่จะเรียกความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ในสไตล์ ซูม ซูม ให้กลับคืนมา เช่นเดียวกับเมื่อได้ขับขี่รถทุกรุ่นของมาสด้า” นางสาวสุรีทิพย์ กล่าวเสริม
การแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลก "อาวีวา โอเพ่น สิงคโปร์ 2008" เริ่มการแข่งขันรอบแรกในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 และรอบชิงชนะเลิศวันที่ 15 มิถุนายน 2551 โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทชายเดี่ยว หญิงเดี่ยว ประเภทชายคู่ หญิงคู่ และประเภทคู่ผสม โดยนักกีฬาแบดมินตันของไทย นำทีมโดย บุญศักดิ์ พลชนะ มืออันดับ 12 ของโลก สุดเขต ประภากมล, ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ, สราลีย์ ทุ่งทองคำ, ดวงอนงค์ อรุณเกษร, ภูมิพัฒน์ ทรัพย์กุลชนนาถ, เทศนา พันธ์วิศวาส, โสรัจจา จันทร์ศรีสุคต และกุลชรา วรวิจิตรชัยกุล ที่จะร่วมทำการกับนักแบดมินตันระดับโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้อย่างครบครัน
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้ายานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้าที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมทดลองขับก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ และรับข้อเสนอสุดพิเศษจากมาสด้าได้แล้ววันนี้
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแรง และรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 91 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 10 ปี จัดแคมเปญพิเศษสุดรับหน้าฝน



เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 10 ปี
จัดแคมเปญพิเศษสุดรับหน้าฝน


กรุงเทพฯ -- บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดแคมเปญมอบโชคสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการบำรุงรักษาในโอกาสครอบรอบการก่อตั้งบริษัทครบรอบ 10 ปี ในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่บัดนี้จนถึง 15 กรกฎาคม 2551 โดยแคมเปญมอบโชคครั้งนี้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นที่นำรถยนต์เข้ารับบริการตรวจเช็ค ณ ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายที่เข้าร่วมรายการจำนวน 35 แห่งทั่วประเทศ
นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด และสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “แคมเปญนี้นอกจากจะเป็นกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของบริษัทฯแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสริมให้ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้รถโดยเฉพาะการตรวจเช็คสภาพ และใช้อะไหล่แท้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงหน้าฝน ณ ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายของเรา ซึ่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ และช่างผู้ชำนาญอย่างแท้จริง”
สำหรับเงื่อนไขของแคมเปญพิเศษนี้ คือ ค่าใช้จ่ายทุกๆ 10,000 บาท (ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำสี และตัวถัง) ที่เกิดขึ้นผ่านศูนย์บริการของผู้จำหน่ายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ ลูกค้าจะได้รับคูปองสำหรับส่งชิงโชคบัตรกำนัล Service Voucher ซึ่งรางวัลทั้งหมดมีดังนี้
• รางวัลที่ 1 บัตรกำนัล Service Voucher มูลค่า 100,000 บาท จำนวน 35 รางวัล
• รางวัลที่ 2 บัตรกำนัล Service Voucher มูลค่า 10,000 บาท จำนวน 100 รางวัล

รวมมูลค่าทั้งสิ้น 4 ล้าน 5 แสนบาท ทั้งนี้ ทางบริษัทฯจะจับรางวัลทั้งหมดในวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 ณ Mercedes-Benz–One Roof Centre ถนนบางนา-ตราด (กม.19) และจะประกาศผลผู้ได้รับรางวัลผ่านทางผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการที่เข้าร่วมรายการทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ และทาง www.mercedes-benz.co.th อนึ่ง สำหรับ Service Voucher ดังกล่าวจะสามารถใช้ได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551
สำหรับผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแคมเปญพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปีนี้ สามารถสอบถามได้ที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการที่เข้าร่วมรายการทั่วประเทศ