29 ม.ค. 2551
เมอร์เซเดส-เบนซ์ตอกย้ำผู้นำตลาดรถหรูครองตำแหน่งยอดจำหน่ายสูงสุดเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ตอกย้ำผู้นำตลาดรถหรูครองตำแหน่งยอดจำหน่ายสูงสุดเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน
กรุงเทพฯ -- บริษัท เมอร์ เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย) จำกัด) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถหรูอย่างแท้จริง ด้วยการประกาศตัวเลขยอดจำหน่ายของปีที่ผ่านมาซึ่งแสดงว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดจำหน่ายสูงสุดในตลาดรถยนต์ระดับหรูติดต่อกันเป็นปีที่ 7 โดยในส่วนยอดขายรถยนต์นั่งระดับหรูในปี พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมานั้นทางเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 55.9 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายรวมทั้งสิ้น 4,024 คัน
เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าปี พ.ศ. 2549 ถึง 15 เปอร์เซนต์ แม้ว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์นั่งระดับหรูในประเทศไทยจะมียอดขายรวมลดลงจากปีก่อน มร.โวลฟ์กัง ฮุบเพ็นบาวเออร์ ประธานบริหาร บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา เราสามารถทำยอดขายได้อย่างโดดเด่น ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากแม้ว่าสถานะการณ์ของตลาดรถหรูในปีที่แล้วจะซบเซาก็ตาม “ด้วยตัวเลขยอดขายรวมของตลาดรถหรูที่ลดลง แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังสามารถทำยอดขายได้อย่างประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะผู้บริโภคได้มอบความไว้วางใจในแบรนด์ของเรา” มร.ฮุบเพ็นบาวเออร์ กล่าว
“พวกเรามีความยินดีเป็นอย่างมากกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนยอดขายของแต่ละรุ่น และส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำของตลาดรถหรูเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน และบริษัทมั่นใจว่าจะยังคงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ในปีถัดไป ด้วยการเปิดตัว the new C-Class ทั้ง 2 รุ่น ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ อันได้แก่ C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE และ the C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เรารักษาความแข็งแกร่งไว้ได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 นี้”
ในปี พ.ศ. 2550 รถยนต์ในอนุกรม E-Class นั้นถือว่าทำยอดขายได้สูงสุดด้วยตัวเลข 1,772 คัน ตามด้วย C-Class ซึ่งทำได้ 957 คัน
สำหรับรุ่น S-Class ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นชูโรงนั้นสามารถทำยอดขายได้ถึง 548 คัน คิดเป็นร้อยละ 73 เปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งทางการตลาด และอีกรุ่นหนึ่งที่จัดว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากไม่แพ้กันก็คือ A-Class ซึ่งสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับตลาดรถหรูด้วยตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดที่เติบโตขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 168 เปอร์เซ็นต์ ที่ยอดจำหน่าย 630 คัน เพิ่มขึ้นจาก 235 คันเมื่อปี พ.ศ. 2549
เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย มร.ฮุบเพ็นบาวเออร์ได้ให้ความเห็นว่า “ที่ผ่านมารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นได้รับความสำเร็จในเรื่องของยอดขายทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย รถยนต์รุ่น S-Class ของเรานั้นเป็นผู้นำอย่างไร้คู่ต่อสู้ ส่วน E-Class ก็ยังคงแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
สำหรับ C-Class ก็เริ่มต้นได้อย่างสวยงามและประสบความสำเร็จมากนับตั้งแต่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นคู่แข่งสำคัญของรถยนต์ในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ส่วนสำคัญของการได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นมาจากความเชื่อถือในตัวแบรนด์ ผนวกกับความพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า และความหลากหลาย ซึ่งในปีนี้ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มีการเตรียมยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น ขณะที่ยังคงเน้นที่เรื่องของคุณภาพ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และสมรรถนะการขับขี่เป็นสำคัญ”
รายละเอียดยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปีพ.ศ. 2550 แบ่งออกได้ดังนี้
A-Class มียอดขายรวม 630 คัน (คิดเป็นร้อยละ 63.9 % ของส่วนแบ่งตลาด)
B-Class มียอดขายรวม 43 คัน (คิดเป็นร้อยละ 79.6 % ของส่วนแบ่งตลาด)
C-Class มียอดขายรวม 957 คัน (คิดเป็นร้อยละ 45.3 % ของส่วนแบ่งตลาด)
E-Class มียอดขายรวม 1,772 คัน (คิดเป็นร้อยละ 63.2 % ของส่วนแบ่งตลาด)
S-Class มียอดขายรวม 548 คัน (คิดเป็นร้อยละ 73.1 % ของส่วนแบ่งตลาด)
M/G/R-Class มียอดขายรวม 74 คัน (คิดเป็นร้อยละ 15 % ของส่วนแบ่งตลาด)
VOLVO่ ชนะใจผู้ใช้รถชาวเยอรมัน
วอลโว่ ชนะใจผู้ใช้รถชาวเยอรมนี
เหนือแบรนด์เยอรมันคู่แข่งทุกแบรนด์
กรุงเทพฯ, 29 มกราคม 2551 – วอลโว่ ครองอันดับที่ 5 และมีชัยเหนือบีเอ็มดับเบิลยู ออดี้ และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จากการสำรวจผู้ใช้รถจำนวน 56,000 คนของนิตยสารรถยนต์ของเยอรมนี เกี่ยวกับความพึงพอใจในรถยนต์ที่ตนเองใช้อยู่
นิตยสาร “อแด็คมอเตอร์เวลท์” (AdacMotorwelt) ซึ่งเป็นนิตยสารรถยนต์ชั้นนำของประเทศเยอรมนี ได้ทำการสำรวจที่คล้ายคลึงกับการจัดการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์โดยให้ลูกค้าเป็นผู้ลงคะแนน ด้วยคำถามที่ว่า “แบรนด์รถยนต์แบรนด์ใดที่สร้างรถยนต์ที่ดีที่สุด และมีลูกค้าพึงพอใจเป็นจำนวนมากที่สุด” ทางนิตยสาร ยังทำการสำรวจเพิ่มเติมถึงความคิดเห็นอื่นๆ ทั้งในเรื่องระบบไฟฟ้า ดีไซน์ ความสะดวกสบาย รวมถึงความพึงพอใจในการขับขี่
ทั้งนี้ ในการสำรวจ พอร์ชยังคงนำมาเป็นอันดับ 1 ในใจผู้สอบแบบสำรวจอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตามด้วยซูบารุ จากัวร์ ฮอนด้า และวอลโว่ ในขณะที่แบรนด์เยอรมนี อาทิ บีเอ็มดับเบิลยู ออดี้ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตามหลังมาในอันดับที่ 7, 10 และ 22 ตามลำดับ
ในการสำรวจ ยังได้สอบถามผู้ใช้รถหลากหลายแบรนด์ด้วยว่า มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการให้บริการหลังการขาย คำตอบที่ได้จากผู้ใช้รถ 6 อันดับแรกล้วนเป็นแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่น โดยมีซูบารุ และโตโยต้า/เลกซัส นำเป็นอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 ตามด้วย “วอลโว่” ในอันดับที่ 7 เหนือคู่แข่งซึ่งเป็นแบรนด์เยอรมนีอย่าง บีเอ็มดับเบิลยูในอันดับที่ 12 ออดี้ในอันดับที่ 20 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ในอันดับที่ 23 นอกจากนี้ ในการสำรวจยังได้สอบถามในประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย อาทิ คุณภาพและราคาของการให้บริการหลังการขาย และการดูแลลูกค้า ฯลฯ
มร.พอล เวลแลนเดอร์ หัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพและความพึงพอใจของลูกค้าของวอลโว่ กล่าวว่า “ผลสำรวจที่ได้นับว่าน่าพึงพอใจ และไม่ได้ถือว่าเกินความคาดหมายของเรา วอลโว่ทำได้ดีกว่าแบรนด์เยอรมันแบรนด์ใหญ่ๆ เนื่องจากความจริงที่ว่า เป็นเพราะเราต้องแข่งขันกับแบรนด์เหล่านี้ให้ได้ เราจึงต้องมีเครือข่ายศูนย์บริการที่แข็งแกร่ง เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด ขณะเดียวกัน ลูกค้าที่เลือกวอลโว่หลายคน มักต้องการทางเลือกที่แตกต่างไปจากแบรนด์ภายในประเทศของตนเอง หากว่าวอลโว่ทำได้อย่างที่ลูกค้าคาดหวัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะพึงพอใจมากกับแบรนด์ของเรา”
25 ม.ค. 2551
ข่าวสารจาก BENZ
ว่างหรือไม่ว่างลองคลิ๊กดู คนที่รักเบนซ์จะยิ้ม
http://www.mercedes-benz.co.th/content/thailand/mpc/mpc_thailand_website/th/mpc_splashpage/home/home/about_us/news___events/whats_new.html
สำหรับท่านที่ชื่นชอบ BENZ
http://www.mercedes-benz.co.th/content/thailand/mpc/mpc_thailand_website/th/mpc_splashpage/home/home/about_us/news___events/whats_new.html
สำหรับท่านที่ชื่นชอบ BENZ
จีเอ็มครองแชมป์ ยอดขายทั่วโลกทะลุเป้า 9 ล้านคัน 3 ปีซ้อน
จีเอ็มครองแชมป์! ยอดขายทั่วโลกทะลุเป้า 9 ล้านคัน 3 ปีซ้อน
• เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่สร้างยอดขายทะลุ 1 ล้านคันในจีน สร้างสถิติใหม่ให้กับจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
• สร้างสถิติยอดจำหน่ายที่ดีที่สุดในยุโรป ละตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง
• ผู้นำด้านยอดขายในตลาดประเทศเศรษฐกิจใหม่ซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 95 ในรัสเซีย
ดีทรอยต์ - ตามรายงานข้อมูลยอดจำหน่ายเบื้องต้นโดย เจนเนอรัล มอเตอร์ส เปิดเผยว่า ในปี 2550 ที่ผ่านมา จีเอ็มมียอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก เป็นจำนวนทั้งสิ้น 9,369,524 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปี 2549 และสำหรับไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว จีเอ็มมียอดจำหน่ายทั่วโลกอยู่ที่ 2,305,752 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549
“ในประเทศจีน เราสร้างสถิติยอดจำหน่ายได้มากกว่า 1 ล้านคัน ส่วนในประเทศรัสเซีย เราจำหน่ายรถยนต์ไปแล้วกว่า 258,000 คัน ทำลายทุกสถิติด้วยยอดขายที่มากกว่าปี 2549 เกือบสองเท่า และสำหรับประเทศบราซิล เราจำหน่ายรถยนต์ไปเกือบ 5 แสนคัน ผลงานในตลาดประเทศเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ช่วยกระตุ้นผลประกอบการทั่วโลกของจีเอ็ม แสดงให้เห็นการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคทั่วโลกต่อรถยนต์ประหยัดพลังงาน และมีรูปลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและการสร้างสรรค์ของเรา” มร. จอห์น มิดเดิลบรู๊ค รองประธาน ฝ่ายขาย การบริการ และการตลาดทั่วโลก บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์เปอเรชั่น กล่าว
ยอดจำหน่ายทั่วโลกในปี 2550 นับว่าเป็นสถิติที่ดีที่สุดอันดับที่สองบนหน้าประวัติศาสตร์ 100 ปีของจีเอ็ม และเป็นปีที่สามติดต่อกันที่จีเอ็มมียอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกมากกว่า 9 ล้านคัน นับตั้งแต่ปี 2548 2549 และ 2550 และเป็นครั้งที่สี่เมื่อรวมกับสถิติในปี 2521
นับว่าสถานการณ์ในตลาดโลกของจีเอ็มในขณะนี้ ได้สร้างแรงผลักดันยอดขายให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดของประเทศที่กำลังขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เมื่อเทียบกับปี 2549 ยอดจำหน่ายทั่วโลกของเชฟโรเลตซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดของจีเอ็มนั้น เติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 4 จาก 4.30 ล้านคันในปี 2549 เป็น 4.49 ล้านคัน ในปี 2550 ซึ่งเชฟโรเลตสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ดีใน 3 ทวีปนอกอเมริกาเหนือ โดยผลงานที่ดีที่สุดเป็นของทวีปยุโรป ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 34 ด้วยยอดขาย 208,000 คัน ส่วนในละตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 23 ส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโตขึ้นร้อยละ 22 ด้วยแรงหนุนจากเชฟโรเลต อาวีโอ ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเชฟโรเลตในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี
ในปี 2550 จีเอ็มยังคงรักษาสถิติการจำหน่ายรถกระบะทั่วโลกไว้ด้วยจำนวน 3.8 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 33,000 คัน จากปี 2549 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 1 โดยเป็นรถกระบะจากเชฟโรเลต 1.96 ล้านคัน ส่วนแบรนด์จีเอ็มซี มียอดขาย 613,000 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 6 เทียบกับจำนวน 579,000 คันในปี 2549 ด้านแบรนด์วู่หลิง ก็สามารถสร้างสถิติที่โดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยยอดจำหน่ายรถกระบะ รถกระบะขนาดเล็ก และรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก รวมทั้งสิ้น 516,000 คัน มีอัตราเติบโตร้อยละ 24 นอกจากนั้นในตลาดรถอเมริกัน จีเอ็มยังมีส่วนแบ่งการตลาดของรถกระบะขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.2 คิดเป็นยอดรวมร้อยละ 40.2 อีกด้วย
ส่วน คาดิลแลคยังคงรักษาความแข็งแกร่งของยอดจำหน่ายทั่วโลกนอกตลาดอเมริกาเหนือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 ในยุโรป และร้อยละ 42 ในละตินอเมริกา แอฟริกาและตะวันออกกลาง แต่สถิติที่น่าประทับใจที่สุดยังคงเป็นผลงานจากเอเชียแปซิฟิกด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายที่ทะยานขึ้นไปกว่าร้อยละ 106 ทีเดียว
สำหรับผลงานประจำปี 2550 ของซาบ ก็ไม่น้อยหน้าด้วยยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ในละตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง ตามมาด้วยร้อยละ 5 ในเอเชียแปซิฟิก ส่วนในยุโรป ซาบยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ร้อยละ 0.4 และด้วยการเพิ่มไบโอพาวเวอร์ให้กับรุ่น 9-3 ซึ่งทำให้ซาบครองความเป็นผู้นำตลาดสำหรับเครื่องยนต์ E-85 ในยุโรปต่อไป
ทั้งนิ้ สถิติที่โดดเด่นในด้านยอดจำหน่ายทั่วโลกของจีเอ็ม ประกอบด้วย ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 9.37 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน โดยในไตรมาสที่สี่มียอดขาย 2.31 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นยอดขายนอกสหรัฐอเมริกา 5.5 ล้านคัน คิดเป็นร้อยละ 59 ของยอดขายทั่วโลก นับเป็นอัตราที่เพิ่มสูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างมาก ซึ่งในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์โลกมีการขยายตัวของตลาดอย่างเห็นได้ชัด โดยมีจำนวนรถยนต์เกือบ 71 ล้านคันในตลาด
แบรนด์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 3 อันดับแรกของจีเอ็มในปี 2550 ได้แก่ อันดับหนึ่ง เชฟโรเลต จำนวนยอดขาย 4.9 ล้านคัน อัตราการเติบโตร้อยละ 4 อันดับที่สอง โอเปิล และ วอกซ์ฮอลล์ 1.69 ล้านคัน เติบโตร้อยละ 4 เช่นกัน ส่วนอันดับที่สาม คือจีเอ็มซี ด้วยยอดขาย 613,000 คัน เติบโตร้อยละ 6
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์ไปกว่า 1.43 ล้านคัน สร้างสถิติยอดขายทะลุ 1 ล้านคันติดต่อกันเป็นปีที่สาม โดยในประเทศจีน จีเอ็มมีอัตราการเติบโตถึงกว่าร้อยละ 18 โดยจำหน่ายได้ 382,000 คันในไตรมาสที่สี่ เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปี 2549 แซงหน้าอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมรถยนต์ในจีน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยจำนวนรถยนต์ 1.03 ล้านคันที่จีเอ็มจำหน่ายในจีนเมื่อปี 2550 ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่สร้างยอดขายเกิน 1 ล้านคัน ส่วนในอินเดีย จีเอ็มยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆ ด้วยยอดขายที่มีอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 74 ด้วยแรงผลักดันจากการเปิดตัวเชฟโรเลต สปาร์ค ผนวกกับความแรงอย่างต่อเนื่องของ เชฟโรเลต ทาวีรา อาวีโอ และออพตร้า
ส่วนในละตินอเมริกา แอฟริกา และภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น จีเอ็มทุบทุกสถิติด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 1.23 ล้านคัน เติบโตจากปี 2549 ร้อยละ 19 และสร้างสถิติยอดจำหน่ายเกิน 1 ล้านคันเป็นครั้งที่สอง สำหรับไตรมาสที่สี่ของปีที่ผ่านมา จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์ 341,000 คัน มีอัตราเติบโตที่ร้อยละ 18 ซึ่งการเติบโตของตลาดหลักในสามภูมิภาคดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบราซิลที่สร้างสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดด้วยจำนวน 499,000 คัน ด้วยเชฟโรเลต 3 รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ เชฟโรเลต คอร์ซา อาวีโอ และ เซลต้า
ในยุโรป จำนวนรถยนต์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดของจีเอ็มยังพุ่งทะยานเกิน 2.18 ล้านคันเป็นปีที่สอง ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 9 โดยมียอดขายในไตรมาสที่สี่ 529,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปี 2549 และยังคงเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมรถยนต์ในภูมิภาคเช่นกัน โดยเฉพาะยอดขายทั้งปีกว่า 250,000 คัน ของประเทศรัสเซีย ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 95 หรือเกือบสองเท่าของปี 2549 สำหรับแบรนด์โอเปิล ว็อกซ์ฮอลล์ เชฟโรเลต และคาดิลแลค ก็ยังมียอดจำหน่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่นคอร์ซา แอสตร้า เมอริวา และ ซาฟิรา ที่ช่วยเพิ่มยอดจำหน่ายให้แก่โอเปิลและวอกซ์ฮอลล์ขึ้นเป็นร้อยละ 4 โดยสถิติยอดจำหน่าย 458,000 คันนั้นเป็นของเชฟโรเลตที่มีอัตราการเติบโตร้อยละ 34 และคาดิลแลคตามมาที่ร้อยละ 45 ในขณะที่ซาบตามมาด้วยยอดจำหน่ายรวม 85,000 คัน
สถิติเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ในเครือจีเอ็มมีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ แบรนด์ระดับภูมิภาคอื่นๆ ของจีเอ็มที่มีผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน อาทิ
แซทเทิร์น มีอัตราการเติบโตของยอดขายในอเมริกาเหนือกว่าร้อยละ 8 ในปี 2550 โดยส่วนมากเป็นผลงานจากความนิยมในรุ่น ออรา 2007 ออรา ไฮบริด สกาย เอาท์ลุค วิว และ วิว กรีนไลน์ ไฮบริด
ด้วยตำแหน่งรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในตลาดรถยนต์ออสเตรเลีย จีเอ็ม โฮลเด้น
มียอดจำหน่าย 158,000 คัน ในปี 2550 ด้วยแรงหนุนจากยอดขายที่ครองอันดับหนึ่งในประเทศออสเตรเลียติดต่อกันเป็นปีที่ 12 ของ คอมโมดอร์ และที่สำคัญ ในปี 2551 แบรนด์รถยนต์ที่พัฒนาขึ้นในออสเตรเลียเป็นรายแรกนี้จะมีอายุครบ 60 ปี
หมายเหตุ: ตัวเลขยอดจำหน่ายทั่วโลกอ้างอิงข้อมูลจากรายงานเบื้องต้น
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 76 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 270,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา และมีโรงงานผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 33 ประเทศ ในปี 2549 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.1 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadilac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเดน (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลสโมบิล (Oldsmobile) โอเปิ้ล (Opel)
พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Saab) ซาเทิร์น (Saturn) และวอกซ์ฮอล (Vauxhall) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม โปรดคลิก www.gm.com
“มะยงชิด มะปรางหวาน” จังหวัดนครนายก
เปิดสวน ชวนชิมมะยงชิด มะปรางหวาน ที่นครนายก
“มะยงชิด มะปรางหวาน” ผลมีลักษณะยาวรีคล้ายไข่ไก่ ผลดิบสีเขียวสด ผลสุกมีสีส้มเมล็ดสีม่วง
จังหวัดนครนายก ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเกษตรกรรมที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพ รสชาติอร่อย มีความหลากหลาย โดยเฉพาะผลไม้ เช่น ส้มโอ,มังคุด,กระท้อน,ทุเรียน,ลองกอง,กล้วย,ส้มเขียวหวาน และผลไม้ที่สร้างชื่อให้กับจังหวัดอย่างมาก นั้นคือ “มะปรางหวาน – มะยงชิด”
มะปราง มี 2 รส คือ หวานจัดกับเปรี้ยวจัด แบ่งเป็น มะปรางหวาน ผลสุกมีรสหวานเย็น ผลยาวรี มะปรางเปรี้ยว ผลสุกลูกมีขนาดใหญ่ สีผิวมีสีส้มชวนรับประทานแต่รสชาติเปรี้ยวมากจนมีคนเก่าคนแก่ท่านกล่าวไว้ว่า “เปรี้ยวจนกาวาง” แต่มะปรางเปรี้ยวผลดิบอ่อน ๆ นำไปแปรรูปเป็นผลไม้ดองและนำไปแช่อิ่ม สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง
มะยง รสชาติแปลกมีสองรสในหนึ่งผล “หวานอมเปรี้ยว” หากมะยงรสชิดไปทางหวานมากกว่าเปรี้ยวจะเรียก “มะยงชิด” หากรสชิดไปทางเปรี้ยวมากกว่าหวาน จะเรียก “มะยง หรือมะยงห่าง” ผลของมะยงจะมีขนาดใหญ่กว่ามะปรางหวาน และหากบำรุงดูแลอย่างดีผลจะใหญ่กว่าไข่ไก่ด้วย นับผล 8–15 ผลเป็นหนึ่งกิโลกรับ ราคาเฉลี่ย 100 – 300 บาท
ด้วยรสชาติของผลไม้ขึ้นชื่อของเมืองนครนายกที่มีความหลากหลาย เนื้อนุ่มกรอบ สีสดน่ารับประทาน จึงเป็นผลผลิตทางการเกษตรเป็นที่ต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนจังหวัดนครนายกเอาใจใส่บำรุงและดูแลสวนมะปรางให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพและราคาย่อมเยา
นางสาวเบญจวรรณ สุเนตรวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ภาคกลางเขต 8 กล่าวว่า ททท. ได้จัดเก็บข้อมูลและลงพื้นที่เยี่ยมชมสวนมะปรางหวาน มะยงชิดในพื้นที่จังหวัดนครนายก และได้รับทราบว่าผลผลิต “มะปรางหวานและมะยงชิด” จะเริ่มสุกและเก็บเกี่ยวได้ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จึงขอเชิญนักท่องเที่ยวจัดวางโปรแกรมเสริมชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร “สวนมะปรางหวาน มะยงชิด” ในจังหวัดนครนายกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม
จัดวางเส้นทางท่องเที่ยวอย่างง่าย ๆ หาเวลาเดินทาง สัก 2 วัน 1 คืน เดินทางออกจากบ้านแต่เช้าถึงจังหวัดนครนายก ขับรถชมตลาดหลากสีสัน “หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับ คลอง 15” แหล่งเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับใหญ่ที่สุดในประเทศไทย, ท่องเที่ยวในเขตทหารน่าเที่ยว “โรงเรียนเตรียมทหาร” และ“โรงเรียนนายร้อย จปร.”, ไหว้พระศักดิ์สิทธิ์และชมสถาปัตยกรรมของศาสนสถาน เช่น วัดพระพุทธฉาย, อุโบสถวัดใหญ่ทักขิณาราม, ขอพรหลวงพ่อปากแดงวัดพราหมณี, สักการะและชมความงามขององค์พระแก้วมรกตจำลองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ วัดคีรีวัน, เรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” ช่วงเย็นก่อนพลบคำเข้าที่พักเลือกโรงแรมหรูหรือรีสอร์ท หลากหลายบรรยากาศมีให้เลือกมากกว่า 40 แห่ง
เช้าวันใหม่ของวันที่สอง ชมความยิ่งใหญ่ในน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎร์ปวงชนชาวไทยในการแก้ไขปัญหาการจัดสรรทรัพยากรของน้ำ โดยทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้าง “เขื่อนขุนด่านปราการชล”, ทดสอบกำลังแขนด้วยกิจกรรมบนสายน้ำ “ล่องแก่งลำน้ำนครนายก” ยามบ่ายหลบร้อนเข้าสวน ชวนชิมมะปรางหวานมะยงชิด และเลือกซื้อเป็นของฝาก ก่อนจะเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคกลางเขต 8 โทร. 0-3731-2282,0-3731-2284, 1672 หรือ Download เพิ่มเติม ได้ที่ www.tat8.com
นายกริน ไลนฤทธิสิงห์ เกษตรจังหวัดนครนายก ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดนครนายก “มะยงชิด มะปรางหวาน” และส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร จังหวัดนครนายก ร่วมกับชมรมชาวสวนมะปรางจังหวัดนครนายก กำหนดจัดงาน “มะยงชิด มะปรางหวาน จังหวัดนครนายก” ระหว่างวันที่ 20 – 26 กุมภาพันธ์ 2551 ณ บริเวณด้านข้างศาลากลางจังหวัดนครนายก ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก โทร.0-3731-1289, 0-3731-2710 หรือ ชมรมสวนมะปรางจังหวัดนครนายก 08-7940-7707
24 ม.ค. 2551
GPS (2)
GPS ทำให้ประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลา
GPS มีประโยชน์มหาศาล เรามาดูเฉพาะเกี่ยวกับแผนที่และการขับรถก่อน เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนผมจากพะเยาไม่เคยขับรถเข้า กทม.ได้โทร.เข้ามือถือผมให้ช่วยไปรับที่รังสิต เพื่อพาเข้าย่านที่เขามีธุระต้องไปหลายแห่ง แล้วจะรีบกลับ เป็นย่านขายอะไหล่รถบ้าง ย่านไอทีมอลล์บ้าง
ก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปรับ และผมได้นำเครื่อง รับ GPS ติดไปด้วย แล้วก็สาธิตให้เขาดู ปรากฎว่าเพื่อนชอบใจมาก และหาซื้อกลับไปเครื่องหนึ่ง
ทำให้ผมไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน และเวลาสำหรับกรณีอย่างนี้ไปได้อย่างแน่นอนในคราวต่อไป
เครื่องรับ GPS ที่นำไปในวันนั้นเป็น เครื่องนูวี่ 200 ของการ์มิน มีระบบปฎบัติการเป็นภาษไทยได้ด้วย แผนที่ถนนล่าสุด ทำให้กำหนดเป้าหมายที่จะไปได้ง่าย รายละเอียดการทดสอบเตฃครื่องรุ่นนี้ลองดูตามลิ้งค์ http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=170738
วอลโว่ มอบโชคสุดพิเศษ สำหรับ ผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ V70 Tในงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2007”
วอลโว่ มอบโชคสุดพิเศษ สำหรับ ผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ V70 Tในงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2007”
มร.พอล สโตคส์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานบริหาร บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบรางวัลในแคมเปญพิเศษสำหรับผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ภายในงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2007” ที่ผ่านมา ให้กับ นางพาพร อัศวโกวิท (ซ้ายสุด) ผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ V70 T ได้รับรางวัลเป็น ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ยุโรป สายการบิน KLM Royal Dutch Airline จำนวน 2 ที่นั่ง มูลค่า 80,000 บาท และนางสาวศิริวรรณ รักษาผล(ขวาสุด) ตัวแทนจากบริษัท บริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ ไทย จำกัด ผู้ซื้อรถยนต์วอลโว่ S60 T ได้รับรางวัลเป็น หมวกเฮลเม็ตสุดเท่ พร้อมลายเซ็นของโรเบิร์ต ดาห์ลเกรน นักแข่งรถของทีมวอลโว่ มูลค่า 50,000 บาท
23 ม.ค. 2551
GPS (1)
ใช้ GPS ให้คุ้มค่า
เครื่องรับ สัญญาณพิกัดดาวเทียม หรือ เครื่องรับ GPS มีบทบาทช่วยนำทางไปสู่จุดหมายที่เป็นสถานที่ต่าง ๆ ตามแผนที่ที่แสดงพิกัด กำกับไว้ ไม่ว่าจะเป็นถนน
สถานที่ท่องเที่ยว หมู่บ้าน หรือทุกหนแห่งทุกตารางนิ้วในโลกนี้มีพิกัดดาวเทียมทั้งสิ้น
สัญญาณจากดาวเทียมบนท้องฟ้าหลาย ดวงจะเป็นตัววัดระยางทางเปรียบเทียบกัน ระหว่างเครื่องรับกับดาวเทียมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันมียี่สิบกว่าดวง
พิกัด ระยะห่างจากดาวเทียม อย่างน้อย 3 ดวง ที่ส่งสัญญาณถึงเครื่องรับ จะทำให้เรา หรือผู้ที่มีเครื่องรับรู้ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ตำแหน่งไหนบนผิวโลก ไม่เว้นกลางทะเล
หากอยู่บนที่โล่ง ไม่มีอะไรบังความคลาดเคลื่อนประมาณ +- 3 เมตร เท่านั้น
จากการทดสอบ ศึกษาอย่างละเอียด ทีมงานของเราพบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวมีประโยชน์มหาศาล
จีเอ็มและเชฟโรเลต ถวายสักการะพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
จีเอ็มและเชฟโรเลต ถวายสักการะพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
กรุงเทพฯ – ผู้บริหารระดับสูงและพนักงาน บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด น้อมถวายความจงรักภักดีต่อพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยเข้าถวายสักการะ และร่วมพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งปณิธานในการสืบสานพระดำริของพระองค์ในด้านการพัฒนาการศึกษาแก่เยาวชนและประชาชนไทยด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง
มร. สตีเฟน คาร์ไลส์ ประธานกรรมการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ทั้งพสกนิกรชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ เชฟโรเลต ต่างน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงมีพระจริยาวัตรอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาและความใส่พระทัยในการช่วยเหลือผู้ที่ยากไร้และขาดแคลนโอกาส ทุกคนในบริษัทฯ ขอน้อมนำและอุทิศตัวตามพระปณิธานของพระองค์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาการศึกษา ให้งอกงามสำเร็จเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ อันจะช่วยนำมาซึ่งการพัฒนาสังคมและประเทศชาติแบบยั่งยืนสืบไป”
มร. สตีเฟน คาร์ไลส์ (ที่ 7 แถวหน้าจากขวา) ประธานกรรมการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร และตัวแทนพนักงาน บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จากกรุงเทพฯ และจังหวัดระยอง ถวายพวงมาลาสักการะพร้อมร่วมในพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
22 ม.ค. 2551
อย่าเปิดแอร์นอนหลับในรถ เมื่อจอดอยู่กับที่
อย่าติดเครื่องยนต์จอดเปิดแอร์นอนหลับ .. อาจไม่ตื่นตลอดไป !!
ขณะที่รถวิ่งไปเมื่อเราปิดกระจกสนิท ลมก็ยังสามารถแทรกเข้าสู่ห้องโดยสารได้ จากด้านหน้า และอากาศจะถ่ายเทขณะเมื่อรถวิ่งไปโดยมีช่องลมออกด้านเสาหลัง โดยอาศัยอากาศพลศาสตร์ ดังนั้นเมื่อรถวิ่งอากาศภายในห้องโดยสารจึงถ่ายเทได้ แม้กระจกปิด และช่องลมเข้าด้านหน้าปิด ลมก็ยังสามาถแทรกเข้ามาได้
แต่การติดเครื่องยนต์เปิดแอร์แล้วนอนหลับไปขณะที่จอดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไปไหน แถมกระจกปิดสนิท ย่อมเกิดการสะสมแก๊สคาร์บอนมอนน๊อกไซด์ ที่อาจรั่วเข้าสู่ห้องโดยสารที่ละน้อย เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ ชั่วโมง อ๊อกซิเจนน้อยลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันแก๊สพิษค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวแก๊สนี้จะทำให้สลบไป แล้วเสียชีวิตเหมือนหลับไป ดังข่าว มีผู้จัดการร้านอาหารญี่ปุ่น ตายในรถอัลติส
21 ม.ค. 2551
BENZ C-Class CKD ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่ง the new C-Class CKD ลงตลาด 1 กุมภาพันธ์นี้
ด้วยราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท
กรุงเทพฯ -- บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือฤกษ์ 1 กุมภาพันธ์นี้ส่ง the new C-Class ลงประเดิมตลาดรถหรูต้นปีพร้อมกันถึง 2 รุ่น ได้แก่ C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE และ C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE พร้อมชูประเด็นเรื่องระบบความปลอดภัย PRE-SAFE® ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และความปราดเปรียวในการขับขี่ Agillity Control และยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาวจากหน่วยงาน Euro NCAP อีกด้วย
มร. โวล์ฟกัง ฮุบเพ็นบาวเออร์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการส่ง the new C-Class ลงสู่ตลาดในช่วงนี้ว่า “ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญยิ่งของเราที่จะนำเสนอยนตรกรรม 2 รุ่นล่าสุดในอนุกรม C-Class ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการกล่าวขวัญและเป็นที่นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถยนต์ของเรา เราเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในเซ็กเม้นท์ของตลาดรถหรู ผนวกกับความนิยมชมชอบรถยนต์ในตระกูล C-Class ของลูกค้าที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นี่คืออีกหนึ่งยนตรกรรมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และยินดีที่จะถ่ายทอดความ รู้สึกนี้ไปสู่ลูกค้าของเรา และมั่นใจว่า the new C-Class ใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะตอบสนองในทุกความต้องการของการขับขี่ได้ดีที่สุด ดั่งเช่นที่เคยเป็นมา”
สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ the new C-Class ใหม่ที่จะวางตลาดทั้ง 2 รุ่น อันได้แก่ C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE และ C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE นั้นเป็นรุ่นที่ประกอบภายในประเทศไทย (CKD) โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีรูปลักษณ์แตกต่างจากรุ่นก่อน (W 203) โดยเฉพาะในรุ่น AVANTGARDE ที่มีรูปโฉมใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดท้าย โดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกฝังอยู่ในกระจังหน้าเพิ่มความปราดเปรียวขึ้น ในรุ่น ELEGANCE ยังคงเอกลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์หรูหราด้วยตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกบนฝากระโปรงหน้า
จุดเด่นของทั้ง C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE และ C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE นั้นก็คือเรื่องความปลอดภัย ผนวกกับประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและให้อารมณ์ในการขับที่สนุกและคล่องตัว ดังนั้นทางเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงได้ติดตั้งระบบ PRE-SAFE® ซึ่งถือเป็นแนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังของยานยนต์ที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดในโลกยุคใหม่นี้ พร้อมยังติดตั้งระบบ AGILITY CONTROL นวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งกว่า พร้อมการทรงตัวอย่างมั่นคงในขณะเดียวกันด้วยโช้คอัพที่สามารถปรับการทำงานแบบอัตโนมัติให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ของการขับขี่และสภาพของถนนที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งระบบ ADAPTIVE BRAKE เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) และ Rain sensor แบบ 2 สเตจ ฟังค์ชั่นการใช้งานโทรศัพท์ในรถยนต์ผ่านระบบ Bluetooth ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมากับตัวรถ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆในการออกแบบโครงสร้างของตัวรถที่จะเป็นส่วนช่วยเสริมให้ทุกอย่างเป็นไปตามแนวคิด “Agility at your command”
นอกจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วในรุ่น C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE ยังติดตั้งระบบทำความสะอาดไฟหน้า (Headlamp cleaning system) ไฟหน้าเป็นแบบไบซีนอน (Bi-xenon headlamps) และที่โดดเด่นอีกอย่างคือระบบ Cornering light function โดยไฟสปอตไลท์ด้านหน้าจะปรับทิศทางไปตามการหมุนของพวงมาลัย ซึ่งจะช่วยในเรื่องของทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้นขณะเลี้ยวโค้งยามค่ำคืนอีกด้วย
C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE และ C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE ยังได้รับการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ อีก อาทิ เครื่องเล่นวิทยุ-ซีดี Audio 20 พร้อมจอสีแสดงผลขนาด 4.9 นิ้ว และซีดีเชนเจอร์แบบ 6 แผ่น รองรับไฟล์เพลงแบบ MP3 ซึ่งมาพร้อมกับ *ระบบเสียงรอบทิศทาง (surround sound system) โดย Harman/kardon® LOGIC7® *(เฉพาะรุ่น ELEGANCE) และรองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยระบบบลูธูท (Bluetooth) พร้อมลำโพงและไมค์โครโฟนคุณภาพสูงสามารถสนทนาได้จากทุกจุดในห้องโดยสาร
การตกแต่งภายในห้องโดยสารนั้นในจะให้ความแตกต่างกันโดยใน C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE นั้นจะเป็นลายไม้วอลนัทให้ความรู้สึกหรูหรา ในขณะที่ C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE จะเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยมและอลูมีเนียมให้ความรู้สึกในสไตล์สปอร์ต
The New C-Class ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับขุมพลังขนาด 1.8 ลิตร แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุดที่135 กิโลวัตต์/184 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 250 นิวตันเมตร ที่ 2,800-5,000 รอบต่อนาที และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.8 วินาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 230 กม./ชม. สั่งงานด้วยระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 5 จังหวะ พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (One-touch Shift) ซึ่งสามารถเลือกจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวของคุณเอง ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกสนุกกับการขับขี่มากยิ่งขึ้น
นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กรบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามั่นใจว่า the new C-Class ที่จะออกสู่ตลาดเมืองไทยทั้ง 2 รุ่น จะคุ้มค่ากับการรอคอยของทุกท่าน the new C-Class จะปลุกตลาดรถหรูในปีนี้ให้คึกคักขึ้นอย่างแน่นอน ผมขอเชิญชวนทุกท่านไปพิสูจน์ the new C-Class ด้วยตัวของคุณเอง ณ โชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเมอร์เซเดส-เบนช์ทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป และยังสามารถอัพเดทข้อมูลของ the new C-Class ได้ทางเว็บไซต์ www.c-for-yourself.in.th ได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายฉัตวิทัย กล่าว
บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้กำหนดราคาจำหน่ายสำหรับ the new C-Class ดังนี้
C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE (CKD) อยู่ที่ 2,799,000 บาท
C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE (CKD) อยู่ที่ 2,999,000 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัส the new C-Class ทั้ง 2 รุ่นนี้ได้ที่ ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ โดยจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 นี้ เป็นต้นไป
MAZDA จับ BT-50 วิ่งทดสอบพลังไบโอดีเซล
มาสด้าจับ บีที-50 วิ่งทดสอบพลังไบโอดีเซล
สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าหันมาใช้พลังงานทางเลือก
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 21 มกราคม 2551 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเตรียมความพร้อมรองรับพลังงานทดแทน จัดทดสอบประสิทธิภาพรถปิคอัพขับสนุก มาสด้า บีที-50 รอบประเทศไทยรวมระยะทางกว่า 10,000 กิโลเมตร ด้วยการเติมน้ำมันไบโอดีเซล B2 และ B5 ตลอดการเดินทางทดสอบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งเป็นการร่วมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ้งเป็นการลดภาวะโลกร้อน
จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับโครงการเรื่องพลังงานทดแทน หรือไบโอดีเซลที่ทางมาสด้านำเอารถปิคอัพขับสนุก มาสด้า บีที-50 เครื่องยนต์ 2500 ซีซี. ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 143 แรงม้า และรุ่นเครื่องยนต์ 3000 ซีซี. ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 156 แรงม้า โดยการทดสอบครั้งนี้ถือเป็นบทพิสูจน์ว่ารถปิคอัพขับสนุก มาสด้า บีที-50 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันสามารถเติมน้ำมัน ไบโอดีเซลได้โดยไม่มีผลต่อสมรรถนะเครื่องยนต์และการสึกหรอ แต่จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้ ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถมีความมั่นใจในการใช้ไบโอดีเซลมากขึ้น รวมทั้งเป็นการสนับสนุนนโยบายการใช้พลังงานทางเลือกของรัฐบาล โดยให้นักแข่งรถยนต์ทั้งทางเรียบและครอสคันทรี ร่วมพิสูจน์คุณสมบัติของไบโอดีเซลกับการใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้มาสด้ารถปิคอัพขับสนุก มาสด้า บีที-50 จำนวน 2 คัน โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2500 ซีซี จะเติมน้ำมันไบโอดีเซล B2 ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 3000 ซีซี. จะเติมน้ำมันไบโอดีเซล B5 ซึ่งรถทั้งสองคันจะขับขี่ทดสอบโดยคุณพีท ทองเจือ และทีมงาน โดยจะออกเดินทางจากกรุงเทพมุ่งหน้าลงทางภาคใต้ และกลับขึ้นทางภาคเหนือ ต่อไปยังภาคอีสาน และต่อไปยังภาคตะวันออก และกลับมาสิ้นสุดที่กรุงเทพ รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 10,000 กิโลเมตร โดยการทดสอบในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ในช่วง 5,000 กิโลเมตรจะมีการตรวจเช็คเครื่องยนต์เพื่อประเมินและสรุปผลการทดสอบ
น้ำมันไบโอดีเซล คืออะไร
ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงเหลวที่ผลิตได้จาก น้ำมันพืช และไขมันสัตว์ เช่น ปาล์ม มะพร้าว ถั่วเหลือง ทานตะวัน สบู่ดำ หรือแม่แต่น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว นำมาทำปฏิกิริยาทางเคมี Transesterification ร่วมกับเมทานอล หรือ เอทานอลจนเกิดเป็นสารเอสเตอร์ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล เรียกว่า ไบโอดีเซล (B100) ซึ่งเมื่อนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเกรดที่ใช้กันในปัจจุบันในสัดส่วนร้อยละ 2 เรียกว่า B2 และถ้านำมาผสมสัดส่วนร้อยละ 5 เรียกว่า B5 สามารถนำมาใช้งานในเครื่องยนต์ดีเซลได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์
โครงการมาสด้า บีที-50 ทดสอบพลังไบโอดีเซล
กำหนดการเดินทาง
ออกเดินทาง วันที่ 21 มกราคม 2551 เวลา 12.00 น. ณ อาคารเลครัชดา มาสด้า สำนักงานใหญ่
สิ้นสุดการทดสอบ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริการรถยนต์มาสด้าซิตี้ พระราม 4
เส้นทางทดสอบ
กรุงเทพ – ภูเก็ต – กระบี่ – พังงา – สุราษฏร์ธานี – เชียงใหม่ – เชียงราย – หนองคาย – อุดรธานี – อุบลราชธานี – ปราจีนบุรี – ระยอง – ตราด - และสิ้นสุดที่กรุงเทพฯ
สิ่งที่ต้องพิสูจน์ก็คือ
• ตรวจสอบสภาพของเครื่องยนต์ ทดสอบจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
• นำตัวอย่างน้ำมันมาทดสอบหาสารตกค้างในห้องปฏิบัติการ
• ทดสอบอัตราเร่งของเครื่องยนต์
• ตรวจสอบไอเสีย ด้วยการขึ้นแท่นทดสอบเปรียบเทียบ
• ทดสอบอัตราการประหยัดพลังงาน บันทึกอัตราบริโภคน้ำมัน
• ขึ้นแท่นตรวจเช็คสภาพโดยรวม ตรวจสอบชิ้นส่วนในส่วนของไส้กรอง, น้ำมันเครื่อง, แหวน ลูกสูบ ฯลฯ
FORD เผยแนวโน้มตลาดรถเล็กในอเมริกาเหนือแรงเกินคาด
ฟอร์ดเผยแนวโน้มตลาดรถเล็กในอเมริกาเหนือแรงเกินคาด
ดีทรอยท์ - 18 มกราคม 2551 – ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เตรียมเผยโฉมต้นแบบรถยนต์ขนาดเล็ก (B-Car) เจเนอร์เรชั่น 3 "เวิร์ฟ" (Verve) ด้วยแนวคิดการออกแบบใหม่ ผสานเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตที่มุ่งเน้นความประหยัดพลังงาน ดีไซน์สะดุดตา ซึ่งจะเตรียมเข้าสู่ไลน์ผลิตเพื่อจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเร็ว ๆ นี้
"เวิร์ฟ" ถูกออกแบบให้โดดเด่น และหรูหรา เหนือการรถยนต์ขนาดเล็กทั่วไปบนท้องถนน ซึ่ง ฟอร์ดเป็นผู้นำในการพัฒนาและผลิตรถยนต์ขนาดเล็กในยุโรปมาหลายสิบปี จึงนำความสามารถและประสบการณ์มาพัฒนารถเล็กสำหรับจับกลุ่มผู้บริโภคในตลาดอเมริกาเหนือ คือ กลุ่มคนที่ชอบศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรถ และเล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี ดีไซน์ และการประหยัดพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ
"เวิร์ฟ" คอนเซ็ปต์มีทั้งในแบบ 4 ประตู และ 3 ประตู โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานอินเตอร์เนชั่นแนลออโต้โชว์ที่ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา มีแผนจะผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรปและเอเชียตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้รุ่นสี่ประตูคือต้นแบบของรถที่จะผลิตเพื่อตลาดอเมริกาเหนือโดยจะเริ่มจำหน่ายใน ปี 2553 ส่วนรุ่นสามประตูซึ่งเป็นรุ่นทดสอบตลาด ซึ่งจะมุ่งเน้นตลาดยุโรปเป็นหลัก และหากได้รับการตอบรับที่ดี คาดว่าจะมีจำหน่ายในอเมริกาเหนือเช่นกัน
เวิร์ฟ คอนเซ็ปต์ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของฟอร์ด ซึ่งมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายฟอร์ดที่มีความแข็งแกร่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านการดีไซน์ และการผลิตรถเล็กสไตล์ยุโรป ที่ขายดีที่สุด อาทิ รถยนต์ฟอร์ด โฟกัส, เฟียสต้า และคา (Ka)
มร. เดอร์ริก คูแซ็ก รองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฟอร์ด มอเตอร์กล่าวว่า “เราได้นำปัจจัยต่าง ๆ ทั้งหมดที่เสริมสร้างให้ฟอร์ดเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ขนาดเล็กในยุโรป และยังอาศัยความเชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ที่ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ ควบคู่กับดีไซน์ที่โดดเด่น จึงทำให้ฟอร์ดเป็นรถที่ทั้งน่าขับและโดดเด่นสะดุดตา”
“รถคอนเซ็ปต์ เวิร์ฟ ทุกรุ่น ได้สร้างมาตรฐานใหม่ระดับโลกสำหรับคุณภาพ ดีไซน์ และความสะดวกสบายในรถยนต์ขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นว่าฟอร์ดสามารถใช้จุดแข็งในการเป็นบริษัทยานยนต์ระดับโลกทำให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง พร้อมด้วยคุณสมบัติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเซ็กเมนต์นี้ ด้วยดีไซน์ที่ดูแข็งแกร่ง ทันสมัย ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำหน้า ใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยม การออกแบบภายในให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างเต็มที่ และเครื่องยนต์ 4 สูบที่ประหยัดพลังงานเป็นพิเศษ”
เวิร์ฟ คอนเซ็ปต์ นิยามใหม่ของรถเล็ก กับประสบการณ์ในการขับขี่ที่เหนือชั้น
เจ เมย์ รองประธานฝ่ายออกแบบและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของฟอร์ด กล่าวว่า “ทีมออกแบบของฟอร์ด สร้างแนวคิดของรถเล็กสำหรับเวิร์ฟขึ้นมา โดยมุ่งปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้บริโภคจากการมองว่ารถเล็กคือรถราคาถูก ให้กลายเป็นรถเล็กคือความเท่ ซึ่งใครเห็นก็อยากได้”
หลักการออกแบบเวิร์ฟ มุ่งเน้นที่ความยืดหยุ่นที่ทำให้เราสามารถออกแบบรถได้ถึง 3 รูปแบบที่เหมาะกับความต้องการในภูมิภาคนั้น และยังทำให้ฟอร์ดสามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้ใช้รถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเจาะตลาดใหม่ ๆ ด้วยรถยนต์แพลทฟอร์มเดียวกัน
ทีมออกแบบเน้นโลโก้ฟอร์ดที่ช่องเปิดกระจังหน้าด้านบนและลดขนาดกระจังหน้าด้านล่างลง พร้อมแต่งด้านข้างของแผงหน้าปัดด้วยไฟ LED
สิ่งที่เหมือนกันในการออกแบบเวิร์ฟ ทั้ง 3 รุ่น คือแรงบันดาลใจจากโลกแฟชั่น ด้วยการใช้สีสันจัดจ้านและวัสดุคุณภาพสูงและดูเด่นสะดุดตา เวิร์ฟที่จำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ ใช้สีแดงสด มีรายละเอียดแตกต่างจากรุ่นที่จำหน่ายในยุโรปและเอเชียเล็กน้อย โดยเฉพาะแผงหน้าปัดหน้ารถ
ฝากระโปรงหน้าดูปราดเปรียว ไม่บึกบึนจนเกินไป ไฟหน้าซึ่งมีทั้งแบบโปรเจ็กเตอร์และ LED ดูโดดเด่น พาดเฉียงไปข้างหลังเล็กน้อยทำให้เวิร์ฟมีบุคลิกที่เปิดเผย เชิญชวนและเป็นกันเอง
เมื่อมองจากด้านข้าง เวิร์ฟดูเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลังและเหมาะสมกับการใช้งาน หน้าต่างที่ไม่มีเสากลาง และเส้นสายของหน้าต่างช่วงบนที่โค้งมนรับกับตัวรถช่วงบน เสายึดกระจกหน้าที่หักมุมรับกับไฟท้าย LED ซึ่งวางอยู่ในตำแหน่งที่กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของเส้นสายตัวรถ รับกับหลังคากระจกของตัวรถ
ดีไซน์ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว 12 ก้าน ช่วยเสริมรูปลักษณ์ของเวิร์ฟให้โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น สอดรับกับเส้นขอบด้านข้างที่ขับสีสดใสของรถให้เด่นยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่เสริมให้เวิร์ฟดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ที่จับประตูโครเมียม และเส้นอลูมิเนียมขัดด้านที่ประดับรอบกระจังด้านล่าง รอบทะเบียนรถ และด้านล่างของไฟตัดหมอกหน้ารถ
แรงบันดาลใจแห่งเทคโนโลยีล้ำอนาคต
ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ รถยนต์เวิร์ฟได้รับการรังสรรค์ขึ้นโดยรวบรวมเอาระบบอิเล็กทรอนิกส์สำคัญ ๆ อาทิ ระบบนาวิเกเตอร์ ระบบเสียง ปุ่มควบคุมต่าง ๆ ตลอดจนระบบโทรศัพท์ภายในห้องโดยสาร เข้าไว้ด้วยกัน ห้องโดยสารได้รับการออกแบบอย่างมีสุนทรียะ ด้วยเส้นสายที่โค้งมนไหลลื่นจากบริเวณหน้าปัดไปตลอดรอบห้องโดยสาร
เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น แผงหน้าปัดจึงได้รับการออกแบบใหม่ให้แตกต่างไปจากแผงหน้าปัดทั่วไป ด้วยการแบ่งแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทั้งจอภาพ ปุ่มควบคุม และระบบไฟฟ้าออกจากกัน ซึ่งช่วยให้ดีไซเนอร์สามารถจัดวางอุปกรณ์และปุ่มควบคุมต่าง ๆ ในดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับดีไซน์ของโทรศัพท์มือถือ
ที่คอนโซลกลาง มีถาดใส่โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่น MP3 รวมถึงช่องว่างขนาดใหญ่สำหรับวางกระเป๋าใกล้กับเบรกมือ ส่วนแผงหน้าปัดถูกออกแบบโดยผสมผสานเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของความเป็นประติมากรรม เข้ากับสีสัน วัสดุหลากชนิด รวมถึงโลหะขัดเงาที่มีเหลี่ยมมุมคล้ายกับอัญมณี
สำหรับระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารของรถยนต์คอนเซ็ปต์คันนี้ ช่องลมที่คอนโซลหน้าส่วนกลางได้รับการออกแบบมาให้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของฝักบัวคุณภาพสูง
มาตรวัดความเร็วและความเร่งถูกออกแบบมาในรูปทรงที่คล้ายคลึงกับกล้องส่องทางไกลขนาดสั้นที่เป็นมันเงา ตัดกับสีสันของคอนโซล และช่วยขับให้แผงหน้าปัดดูโดดเด่นยิ่งขึ้นราวกับเครื่องประดับแฟชั่นชิ้นงาม
พวงมาลัยของรถยนต์คอนเซ็ปต์คันนี้ ก็เป็นดั่งชิ้นงานประติมากรรมอีกชิ้นในห้องโดยสาร ส่วนกลางของพวงมาลัยใช้วัสดุที่ให้ความรู้สึกนุ่มมือ และประกอบด้วยโลหะขัดเงา ซึ่งช่วยเพิ่มมิติที่ล้ำสมัยให้กับห้องโดยสารที่โค้งมนของรถยนต์ฟอร์ดคันนี้มากยิ่งขึ้น
“ลูกค้าในเซ็กเมนต์นี้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” เจ เมย์กล่าว “เมื่ออายุยังน้อย พวกเขาจะเป็นคนทันสมัย เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก และต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่โลกนี้มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแฟชั่น ไปจนถึงรถยนต์ ฟอร์ด เวิร์ฟ คอนเซ็ปต์แสดงให้ทุกคนเห็นว่า เมื่อพูดถึงสไตล์และความล้ำสมัย ฟอร์ดทำได้ และสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคได้เสมอ”
์ www.ford.co.th
18 ม.ค. 2551
คาสตรอลเจาะใจลูกค้าทั่วโลก สนับสนุนบอลยูโร 2008
คาสตรอลเจาะใจลูกค้าทั่วโลก สนับสนุนบอลยูโร 2008
ทุ่มทุนจัดกิจกรรมการตลาดบลูโอเชี่ยนแนวสร้างสรรค์
แคมเปญการตลาดใหม่เน้นการเข้าถึงและเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับแบรนด์อย่างใกล้ชิด
17 มกราคม 2551 – แอสแพคออยล์ (ไทยแลนด์) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นภายใต้ตราผลิตภัณฑ์ “คาสตรอล” เผยแผนการตลาดปีหนู เน้นกลยุทธ์การตลาดแนวสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย เน้นกิจกรรมที่เข้าถึงและเจาะใจผู้บริโภคตัวจริง ประเดิมด้วยการสนับสนุนบอลยูโร 2008 ซึ่งเป็นการให้สปอนเซอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คาสตรอล พร้อมจัดกิจกรรมการตลาดแนวครอบครัว “ตะลอนทัวร์ ครอบครัวอัจฉริยะ” เรียลลิตี้โชว์ทางโทรทัศน์ และ “พีนัลตี้ คิก” ซึ่งสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับบอลยูโรผ่านกิจกรรมการแข่งขันช่างซ่อมรถจักรยานยนต์
มร. พอล เทอร์เนอร์ ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค แอสแพคออยล์ เปิดเผยว่า “แนวคิดในการทำธุรกิจของคาสตรอลจะสัมพันธ์กับการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งจะสื่อถึงความสามารถและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และการใช้กีฬาซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลกเป็นสื่อ จะทำให้คาสตรอลสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดทำให้ลูกค้าโยงความสัมพันธ์ระหว่างคาสตรอลกับประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดและสนุกกับกีฬาที่ตนเองชื่นชอบโดยมีคาสตรอลเป็นสื่อได้มากขึ้นด้วย”
กลยุทธ์การตลาดเชิงสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งในปีนี้ คาสตรอลได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้แนวคิด “Castrol – Euro 2008 Experience and Beyond” ในโอกาสที่เป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลยูโรด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เริ่มด้วยแคมเปญ “คาสตรอลลุ้นฝา พาตะลุยยูโร 2008” ชิงแพ็คเกจยิ่งใหญ่ชมฟุตบอลยูโรรอบชิงชนะเลิศและรอบรองแบบสดๆ เกาะติดข้างสนามแข่งที่ประเทศออสเตรียในเดือนมิถุนายน เป็นกิจกรรมมอบโชคคืนแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคาสตรอลที่เป็นแฟนฟุตบอล โดยคาสตรอลจะเปิดให้ลูกค้าส่งฝาน้ำมันหล่อลื่นคาสตรอลทุกชนิด ทุกประเภท เข้ามาระหว่างวันที่ 15 มกราคม – 31 มีนาคม 2551 ที่ ตู้ปณ. 111 ปณศ. นนทบุรี 11000 จับรางวัลในวันที่ 8 เมษายน 2551 และประกาศผลทางหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในวันที่ 11 เมษายน 2551
พร้อมกันนี้ คาสตรอลยังได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.castrolindex.com แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์ เจาะลึกถึงการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่ช่วยให้ผู้บริโภคและคอบอลเข้าใจและสนุกกับการแข่งขันฟุตบอลมากที่สุด อาทิ ทีมแข่ง, ผู้เล่นและเกมส์การแข่งขัน ตลอดจนความเร็วของลูกบอลที่ใช้แข่งขัน ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ยูฟ่าเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับนักกีฬารายบุคคลและแต่ละทีม ไปจนถึงผลจากการเปลี่ยนตัวนักแข่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าของทีม อัตราส่วนของการเปลี่ยนตัว การได้รับใบเหลืองใบแดง หรือแม้กระทั่งสถิติในการทำฟาวล์ รวมไปถึงแผนการเล่นของแต่ละทีม เรียกได้ว่าเป็นแหล่ง ข้อมูลที่จะช่วยวิเคราะห์เกมการแข่งขันและเพิ่มความสนุกในการชมยูโร 2008 ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลยทีเดียว ข้อมูลเหล่านี้ ทางคาสตรอลเป็นผู้เดียวที่ได้รับสิทธิ์จากยูฟ่าในการนำมาใช้ คอบอลพันธุ์แท้สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ดังกล่าว และเช็คสถิติที่น่าสนใจได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน มีการแต่งตั้ง “ทีมคาสตรอล” ซึ่งประกอบด้วยคอบอลพันธ์แท้ของไทย 3 ท่าน ได้แก่ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ดาราหนุ่มผู้หลงใหลในฟุตบอล, เอกราช เก่งทุกทาง นักพากย์กีฬาหนุ่มอารมณ์ดีชื่อดัง และ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตนักฟุตบอลศูนย์หน้าทีมชาติไทยชื่อดัง มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ คาสตรอลในการทำกิจกรรมต่างๆตลอดระยะเวลา 6 เดือนเต็ม เพื่อที่จะนำพาผู้ที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอลทุกท่านเข้าสู่บรรยากาศการแข่งขันยูโร 2008 ด้วยกิจกรรมมากมายจากคาสตรอลส่งตรงถึงผู้บริโภคคอบอลทั้งหลาย
ซิโก้ กล่าวว่า “กีฬาเป็นเครื่องมือที่จะดึงเอาความมุ่งมั่นและความฝันของผู้คนออกมาอย่างชัดเจน และคาสตรอลก็กำลังพยายามทำให้ฟุตบอลเป็นเรื่องน่าสนุกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นสำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยทุกคน”
นอกจากนั้น คาสตรอลยังได้จัดกิจกรรมแนวครอบครัว “ตะลอนทัวร์ ครอบครัวอัจฉริยะ” และกิจกรรมการแข่งขัน “พีนัลตี้ คิก” ระหว่างกลุ่มช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ซึ่งจะเสริมและสอดแทรกความสัมพันธ์ระหว่างคาสตรอลกับการเป็นสุดยอดช่างซ่อมโดยใช้กีฬาเป็นสื่อ
“ตะลอนทัวร์ ครอบครัวอัจฉริยะ” เป็นเรียลลิตี้โชว์ทางโทรทัศน์เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับทุกคนในครอบครัว ซึ่งคาสตรอลจะเปิดให้ครอบครัวชาวไทยที่ประกอบด้วยคุณพ่อ-คุณแม่อายุระหว่าง 30 - 45 ปี พร้อมลูกๆ อายุระหว่าง 8 - 15 ปี ได้ร่วมกันเดินทางค้นหาโมเลกุลอัจฉริยะ โดยแต่ละครอบครัวต้องฝ่าฟันอุปสรรค ขบปัญหาต่างๆ ด้วยความสร้างสรรค์ ใช้ไหวพริบในการจัดการกับสถานการณ์ไม่คาดฝันเฉพาะหน้าเพื่อเอาชนะและชิงรางวัลรถยนต์ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งสำหรับครอบครัว
รายการนี้จะออกอากาศทางช่อง 9 อสมท ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00 – 15.30 น. โดยจะเริ่มวันที่ 6 เมษายน ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2551
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครร่วมชิงความเป็นครอบครัวอัจฉริยะใน “ตะลอนทัวร์ ครอบครัวอัจฉริยะ” ได้ที่บูธรับสมัครตามอาคารสำนักงาน 20 แห่งทั่วกรุงเทพฯ หรือที่ร้านออโต้เซอร์วิสทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม 2551 คาสตรอลจะคัดเลือกผู้สมัคร 25 ครอบครัวมาทดสอบทักษะด้านการใช้ภาษาและการสื่อสาร ร่างกายและการเคลื่อนไหว การเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์ รวมทั้งจินตนาการ ตรรกะและคณิตศาสตร์ และธรรมชาติวิทยา เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 7 ครอบครัวที่จะได้เข้าร่วมในเรียลลิตี้โชว์ชุดนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center รายการตะลอนทัวร์ ครอบครัวอัจฉริยะ 02 374 0383 ตั้งแต่ 5 - 31 มกราคม 2551
ส่วน “พีนัลตี้ คิก” คืออีกกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นสำหรับช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นทั้งผู้แนะนำผลิตภัณฑ์คาสตรอลและเป็นแฟนบอล โดยมีการเสริมและสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับบอลยูโร ผู้ร่วมกิจกรรมจะได้สนุกกับการทดสอบสมรรถนะและทักษะในการเล่นฟุตบอล ทั้งการแข่งขันเตะฟุตบอลเพื่อวัดความเร็วและความแม่นยำ ผู้ที่สนใจสามารถนำฝาขวดน้ำมันเครื่องคาสตรอลมาแสดงเพื่อร่วมในการแข่งขันได้ โดยกติกาและรายละเอียดสามารถติดตามเพื่อร่วมสนุกกับคาสตรอลได้เร็วๆนี้
“คาสตรอลจัดกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นเพื่อสื่อถึงแนวคิดของคาสตรอลที่ว่า “Experience and Beyond” และความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมและนวัตกรรมที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ชั้นนำของ คาสตรอล เช่น คาสตรอล เพาเวอร์ วัน ซึ่งใช้เทคโนโลยีไทรโซนและโมเลกุลอัจฉริยะในคาสตรอล แม็กนาเทค เป็นต้น รวมทั้งทำให้แบรนด์คาสตรอลได้ใกล้ชิดกับผู้ชมและผู้บริโภคทั่วไปมากยิ่งขึ้นด้วย” มร. เทอร์เนอร์ กล่าว
มร. เทอร์เนอร์ กล่าวสรุปว่า “เราเตรียมแผนและโครงการใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ไว้เพื่อสร้างประสบการณ์ประทับใจในกิจกรรมระดับโลก และการเชื่อมโยงแบรนด์คาสตรอลเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคาสตรอลกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
17 ม.ค. 2551
15 ม.ค. 2551
MAZDA 3 E20 ขานรับนโยบายรัฐด้านพลังงานทดแทน
รถมาสด้า3 E20 ขานรับนโยบายรัฐด้านพลังงานทดแทน
• พร้อมส่งมอบด้วยราคาเริ่มต้น 775,900 บาท
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 15 มกราคม 2551 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความพร้อมจำหน่ายรถยนต์มาสด้า3 E20 ทุกรุ่น ตอบรับนโยบายรัฐด้านพลังงานทดแทนโดยสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E20) ได้พร้อมราคาใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมัน E20 และย้ำชัดรถยนต์มาสด้า3 ที่ส่งมอบตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาสามารถให้น้ำมันเบนซินได้ทุกประเภท รวมทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E20) ทั้งนี้เพื่อเป็นการร่วมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดภาวะโลกร้อน
จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่ามาสด้าได้ประกาศปรับราคาใหม่ของรถยนต์มาสด้า3 E20 ทุกรุ่นลงอีกสูงสุดถึง 54,000 บาท พร้อมส่งมอบได้ทันที มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา โดยเฉพาะราคาเริ่มต้นเพียง 775,900 บาท สำหรับรถยนต์ Mazda3 รุ่น Groove เกียร์อัตโนมัติ นอกจากนี้รถยนต์มาสด้า3 ที่ส่งมอบตั้งแต่ปลายปี 2550 ที่ผ่านมา สามารถใช้น้ำมันเบนซินได้ทุกประเภทรวมทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20
ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดภาวะโลกร้อน และเพื่อสนับสนุนนโยบายของภาครัฐเรื่องพลังงานทดแทน อีกทั้งการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E20) จะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ ช่วยให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองได้ในเรื่องพลังงาน ลดผลกระทบ จากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาชนบท และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ต่อไป
สำหรับประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้จากการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20 นอกจากราคารถยนต์ที่ปรับลดลงมาแล้ว ราคาน้ำมันจะถูกว่าน้ำมันเบนซินชนิดอื่นอีกด้วยทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก
สำหรับลูกค้ามาสด้าที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 กับรถยนต์ของท่าน สามารถสังเกตได้จากสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ E20 ที่ติดมากับรถยนต์ หรือหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ www.mazda.co.th นอกจากนี้สามารถสอบถามเป็นรายบุคคลเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 คือ เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันเบนซิน 95 อีก 80 เปอร์เซ็นต์
เอทานอล คือ แอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการหมักพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง
ตารางราคาใหม่รถยนต์มาสด้า3 E20
รุ่นรถมาสด้า3 E20
Mazda3
1.6L Groove ราคาขายเดิม(รวม VAT) 816,900 ราคาขายใหม(รวม VAT)่ 775,900 ส่วนต่างราคาลดลง41,000
1.6L Spirit ราคาขายเดิม(รวม VAT) 861,900 ราคาขายใหม(รวม VAT)่ 818,900 ส่วนต่างราคาลดลง43,000
1.6L Spirit sport ราคาขายเดิม(รวม VAT) 899,900 ราคาขายใหม(รวม VAT)่ 854,900 ส่วนต่างราคาลดลง45,000
2.0L Maxx ราคาขายเดิม(รวม VAT) 1,019,900 ราคาขายใหม(รวม VAT)่ 968,900 ส่วนต่างราคาลดลง51,000
2.0L Maxx sport (S/R) ราคาขายเดิม(รวม VAT) 1,083,900 ราคาขายใหม(รวม VAT)่ 1,029,900 ส่วนต่างราคาลดลง54,000
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้า ที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 56 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานมาสด้า3 และสปอร์ตปิคอัพมาสด้า BT-50 สปอร์ตปิคอัพ พลังแร ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 91 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408
http://www.mazda.co.th
10 ม.ค. 2551
The new C-Class ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก Euro NCAP
The new C-Class ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว
จาก Euro NCAP
กรุงเทพฯ – รถหรู เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new C-Class ผ่านมาตรฐานทดสอบการชนของ Euro NCAP โดยสามารถทำคะแนนได้สูงสุดระดับ 5 ดาว และยังถูกจัดให้เป็นรถยนต์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน
จากผลการทดสอบดังกล่าว นับเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของแนวคิดเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์ตระกูล C-Class ได้เป็นอย่างดี ด้วยการวิเคราะห์บนพื้นฐานของข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริง ประกอบกับการผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการชนที่ได้มาตรฐานอย่างเข้มข้น ด้วยการติดตั้งระบบความปลอดภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ถุงลมนิรภัยจำนวน 8 จุด 10 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ หมอนรองศีรษะแบบ NECK-PRO head restraints และที่สำคัญระบบ PRE SAFE® ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ติดตั้งระบบดังกล่าวให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของตัวรถนั่นเอง จึงทำให้ The new C-Class ครอบครองตำแหน่งการป้องกันภัยระดับสูงสุดกรณีเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ โครงสร้างของตัวถังรถได้รับการเสริมเพิ่มความแข็งแรงเพื่อรองรับแรงปะทะเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้า โดยแรงปะทะจะกระจายออกไปตามจุดรับแรงกระแทกต่างๆ ซึ่งหมายถึงผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้รับการปกป้องด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุดอย่างมีประสิทธิภาพ
ประมาณร้อยละ 70 ของโครงสร้างตัวถังนั้นทำจากเหล็กกล้าผสมอัลลอยด์ที่ให้ความแข็งแกร่งและปลอดภัยสูงแต่มีน้ำหนักเบาขึ้น โครงสร้างเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการรองรับแรงกระแทกด้านข้างอีกด้วย เสากลาง หรือ B-pillars ของซีคลาสใหม่ล้วนได้รับการเสริมให้แข็งแรงด้วยเหล็กกล้าที่มีความแข็งแกร่งสูง ช่วยซับแรงกระแทกจากด้านข้างไม่ให้มาถึงผู้โดยสาร
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ C-Class นั้น ได้รับการออกแบบบนพื้นฐานของการทดสอบและใช้งานจริงจนเป็นที่ยอมรับว่าแนวคิดของเมอร์เซเดสนั้นนำไปสู่การสร้างสรรค์ยนตรกรรมบนความปลอดภัยสูงสุด โดย เน้นหลีกเลี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และความสามารถที่จะป้องกันไว้ล่วงหน้าได้ด้วย
นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน The new C-Class อาทิ โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® และระบบช่วยเบรก BAS ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมรถได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์คับขัน ทั้งนี้ จากตัวเลขทางสถิติ เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ระบบความปลอดภัยดังกล่าวข้างต้นสามารถลดจำนวนของอุบัติเหตุที่รุนแรงซึ่งเกิดจากรถสูญเสียการทรงตัว และการชนปะทะรถคันหน้าได้ นอกจากนี้ ระบบช่วยเบรก BAS ยังช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผู้สัญจรบนท้องถนนให้ลดน้อยลงได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น รถหรู C-Class ยังเป็นยนตรกรรมหนึ่งเดียวของโลกในเซ็กเม้นท์เดียวกันที่มีระบบคาดการณ์ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ หรือ PRE SAFE® ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้คิดค้น และพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจพบสภาวะของอันตรายที่อาจเกิดขึ้น โดยระบบดังกล่าวสามารถทำการประเมินสถานะการณ์เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอันตราย และอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9 ม.ค. 2551
เชฟโรเลตร่วมส่งเสริมศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาไทย
เชฟโรเลตร่วมส่งเสริมศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาไทย
สนับสนุนการประชุมนานาชาติไทยศึกษา ครั้งที่ 10
กรุงเทพฯ - ชาติชาย สุวรรณเสวก (ซ้ายสุด) กรรมการอำนวยการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด สนับสนุนการจัดประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 10 พร้อม รถยนต์เชฟโรเลต แคปติวา ให้แก่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ (ที่ 2 จากซ้าย) อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร. อนุชา ทีรคานนท์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการ สถาบันไทยคดีศึกษา และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บุญจิรา ถึงสุข (ขวาสุด) เป็นผู้รับมอบ โดยการสนับสนุนดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เชฟโรเลต พัฒนาการศึกษาไทย” ในการร่วมส่งเสริมศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาของไทยในการบริหารจัดการประชุม และการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านไทยศึกษาระดับนานาชาติ” เมื่อเร็วๆ นี้
สำหรับการประชุมนานาชาติไทยคดีศึกษาครั้งที่ 10 นี้ จัดขึ้นในหัวข้อ “ Thai Societies in a Transnationalized World” โดยการประชุมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการสืบทอดประเพณีการประชุมทางวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้ด้านไทยศึกษาแล้ว ยังเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2550
การประชุมดังกล่าว จะจัดขึ้นที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ตั้งแต่วันที่ 9 -11 มกราคม ศกนี้ โดยมีอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และนักศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต จากทั่วโลก เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้กว่า 500 คน
8 ม.ค. 2551
จีเอ็ม ก้าวสู่ 100 ปี เปิดตัว “จีเอ็มเน็กซ์” (GMnext)
จีเอ็ม ก้าวสู่ 100 ปี เปิดตัว “จีเอ็มเน็กซ์” (GMnext)
มุ่งสู่โลกยานยนต์อนาคต
ดีทรอยท์ – ในอีก 20 ปีข้างหน้า รถยนต์ทั้งโลกจะใช้พลังงานใดเป็นเชื้อเพลิง รถยนต์นั่งธรรมดาๆ จะอยู่รอดได้หรือไม่ในยุคที่การแย่งชิงทรัพยากรเพิ่มขึ้น และบทบาทในการพัฒนาตลาดของอุตสาหกรรมรถยนต์จะเป็นเช่นไร
คำตอบต่อคำถามข้างต้นเหล่านั้นจะทำให้ภาพของการขนส่งและการเดินทางในศตวรรษที่ 21 ชัดเจนขึ้นเป็นอย่างมาก และเพื่อช่วยในการตอบคำถามเหล่านั้นให้ได้เร็วยึ่งขึ้น จีเอ็มได้แนะนำ “จีเอ็มเน็กซ์” (GMnext) เวทีสนทนาระดับโลกผ่านรูปแบบเว็บบล็อก (Web Blog) เนื่องในโอกาสการก้าวสู่ 100 ปี เจนเนอรัล มอเตอร์ส
“ศตวรรษที่สองของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ จุดเปลี่ยนแห่งรากฐานของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ เราใช้ GMnext เพื่อแสดงทรรศนะและความคิดเห็นต่อประเด็นสำคัญด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโลกให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งผมหวังว่า GMnext จะช่วยจุดประกายให้ผู้คนทั่วโลกหันมาพูดคุยกันในประเด็นเหล่านี้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น” มร. ริค แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา กล่าว
GMnext จะเิริ่มเปิดประเด็นสนทนา ด้วยการหยิบยกประเด็นการเปิดตัวยานยนต์และเทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมถึงวิธีการประยุกต์ใช้ระบบขับเคลื่อน อี-เฟล็กซ์ (E-Flex) แบบใหม่ และการสานต่อเทคโนโลยีไฮบริดแบบสองระบบ (Two-Mode Hybrid) และไฮบริดที่มีระบบการเติมไฟฟ้าด้วยการเสียบปลั๊ก (Plug-In Hybrid)
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทั่วโลกในครั้งนี้ มีเว็บไซต์ GMnext.com เป็นสื่อหรือเวทีรองรับ ที่ได้ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดเสียงตอบรับและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น สำหรับข่าวสาร สถานการณ์ในตลาด รวมทั้งข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับจีเอ็ม และสิ่งนั้นจะเป็นความคิดเห็นจากสาธารณะ นักสังเกตการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ภายนอกบริษัทฯ และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั่วโลก
รายการกิจกรรมต่างๆ ของ GMnext จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนมกราคมเป็นต้นไป และส่วนสำคัญที่สุดจะอยู่ที่ “จีเอ็มเน็กซ์เดย์” (GMnext Days) คือวันฉลองในโอกาสครบรอบ 100 ปีของจีเอ็มในระดับโลกซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกันยายน ปี 2551 นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนภาพแห่งศตวรรษแรกของจีเอ็ม แต่ยังให้คำนิยามของศตวรรษที่สองผ่านรถยนต์และแผนงานใหม่ๆ แห่งอนาคต อีกด้วย สำหรับรายละเอียดของกิจกรรม GMnext Days นั้น จะแจ้งให้ทราบในภายหลัง
สำหรับจีเอ็ม ประเทศไทย ยังมีบทบาทสำคัญใน GMnext ผ่านข้อคิดเห็นของ มร. สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสเอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่จะเผยแพร่มุมมองต่างๆ ลงใน จีเอ็มเน็กซ์บล็อก (GMnext blog) อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่นบทความเกี่ยวกับความสำเร็จของ เชฟโรเลต ซีเอ็นจี ในประเทศไทย (Chevy Fuel Solutions: The View from Thailand: http://blog.gmnext.com/?p=15) เป็นต้น
บริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 76 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 280,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ
เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 33 ประเทศ ในปี 2549 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.1 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิแลค (Cadilac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเดน (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลสโมบิล (Oldsmobile) โอเปิ้ล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Sabb) ซาเทิร์น (Saturn) และ
ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.gm.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)