5 มี.ค. 2551
Chevrolet Tahoe Boss ไม่มีคนขับ
เชฟโรเลต ทาโฮ “บอส” คันแรกของโลกวิ่งได้ปลอดภัยแบบไร้คนขับ
เปิดประตูสู่อนาคตแห่งการขับขี่ที่ไร้อุบัติเหตุและการจราจรติดขัด ด้วยความลำหน้าของเทคโนโลยีไฟฟ้าและโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ลาสเวกัส – เจนเนอรัล มอเตอร์ส นำรถยนต์ เชฟโรเลต ทาโฮ “บอส” รถยนต์คันแรกของโลก
ที่วิ่งได้แบบไม่ต้องใช้คนขับ จากการทดสอบวิ่งด้วยระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร โดยใช้ระบบควบคุม
ด้วยเทคโนโลยีไฟฟ้าที่ล้ำหน้าของจีเอ็ม ที่ทำให้ความฝันในการผลิตรถยนต์แบบไร้ผู้ขับขี่
ใกล้กลายเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น
เชฟโรเลต ทาโฮ “บอส” (Chevrolet Tahoe “Boss”) ตั้งตามชื่อเล่นของ ชาล์ส เอฟ เคทเทอริ่ง
(Charles F. Kettering) ผู้ก่อตั้งแผนกวิจัยและพัฒนาของจีเอ็ม
ซึ่งบอสได้รับการพัฒนาและคิดค้นจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลลอน (Carnegie Mellon University) บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ด้วยการผสมผสานของระบบ LIDAR (Light Detection and Ranging) ระบบตรวจวัดระยะพื้นผิวด้วยแสง เทคโนโลยีสุดล้ำในการทำแผนที่เข้ากับระบบสัญญาณเรดาร์ และระบบนำทาง GPS ทำให้ “บอส” สามารถรับรู้สภาพถนน การจราจร รวมทั้งอุปสรรคกีดขวางต่างๆ ทั้งบนถนน และรอบๆตัวรถได้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงคำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และระบบอัลกอริธึ่ม (Algorithms) คือ ระบบชุดคำสั่งตามขั้นตอนอันชาญฉลาดที่ป้อนเอาไว้
ก่อนจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นทิศทางการขับขี่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับ เชฟโรเลต ทาโฮ บอส และสามารถขับขี่หลบสิ่งกีดขวางต่างๆ ไปได้ จนกระทั่งถึงจุดหมาย
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการทดลองนำ เชฟโรเลต ทาโฮ บอส ใช้ระบบนำทางดังกล่าวควบคุมการขับขี่ด้วยตัวเองเป็นระยะทางประมาณเกือบ 100 กิโลเมตร ผ่านการจราจรที่คับคั่งของตัวเมือง ทางแยกและสัญญาณจราจรต่างๆ ได้อย่างราบรื่นภายในเวลาน้อยกว่า 6 ชั่วโมง และบอสยังเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน Urban Challenge ประจำปี 2550 ของสำนักพัฒนาวิจัยภายใต้กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (Defense Advanced Research Projects Agency: DARPA)
แลร์รี่ เบิร์นส์ (Larry Burns) รองประธานฝ่ายพัฒนาและวิจัย และการวางแผนกลยุทธ์ของจีเอ็ม คอร์เปอเรชั่น กล่าวว่า “เราไม่เพียงสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันเพื่อขับเคลื่อนศตวรรษใหม่แห่งยานยนต์ได้เท่านั้น แต่เทคโนโลยีไฟฟ้าในรถยนต์อย่าง บอส จะทำให้เราอยู่ในโลกแห่งการขับขี่ที่ปลอดภัย ไม่มีทั้งอุบัติเหตุ ความแออัดของการจราจร และทำให้การเดินทางมีประสิทธิภาพมากขึ้นในที่สุด”
นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน เชฟโรเลต ทาโฮ บอส ยังเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญ นำไปสู่อนาคตที่ทำให้
เราสามารถ รับ-ส่ง อีเมล กินอาหารเช้า หรือแม้กระทั่งดูข่าวไปด้วยในขณะที่ บอสกำลังขับเคลื่อนตัวเอง
เพื่อไปส่งเราจนถึงที่ทำงาน
“การแข่งขัน (Urban Challenge) นี้ ช่วยทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า การที่จะสร้างและพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ
ให้สำเร็จนั้น เราต้องการสิ่งใดบ้าง เหมือนกับที่เราคิดค้นพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง” เบิร์นส์ กล่าว
ทุกวันนี้ ยานพาหนะส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับระบบไฟฟ้าหลายชนิด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับช่วย
อำนวยความสะดวก ความปลอดภัย ให้กับผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ “การขับขี่แบบอิสระด้วยตัวเอง” (Autonomous Driving) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความผิดพลาดของผู้ขับ ซึ่งปัจจัยหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ระบบขับขี่อิสระด้วยไฟฟ้านี้เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะส่งผลสำคัญต่อระบบการขนส่งในอนาคต
อีกด้วย
ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ ในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมปรับความเร็วอัตโนมัติ (adaptive cruise control) หรือระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว เช่น Stabili Ttrak ของจีเอ็ม ระบบนำทางด้วยจีพีเอส OnStar ที่ให้ความคุ้มครองและความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ระบบตรวจจับก่อนการชน (pre-crash sensors) ระบบช่วยเหลือมุมมองด้านข้าง (side blind zone assist) หรือแม้แต่ระบบเตือนเมื่อรถเปลี่ยนทิศทางออกนอกเลน
(Lane Departure Warning: LDW) สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนความรับผิดชอบ และความเอาใจใส่
ของผู้ขับขี่ได้ ระบบเพียงแต่ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้โดยสาร รวมทั้งบ่งบอกจุดที่การจราจรคับคั่งได้เท่านั้น
ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของทีมแข่งรถทาร์ทัน (Tartan Racing Team) ซึ่งเป็นผู้นำชัยชนะให้กับ “บอส”
ในการแข่งขันของ DARPA จีเอ็มได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน ในการพัฒนาระบบขับขี่อิสระ
ด้วยตนเอง ขึ้นจากห้องวิจัยร่วม ณ มหาวิทยาลัยในเมืองพิตส์เบิร์ก ซึ่ง อลัน โทบ (Alan Taub) ประธานบริหารฝ่ายพัฒนาและวิจัยของจีเอ็ม คอร์เปอเรชั่น ได้ให้ความคิดเห็นว่า ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ นั้นเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้เลยทีเดียว