4 ก.ค. 2551

100 ปี จีเอ็ม บริษัทรถยนต์อันดับ 1 ของโลก











100 ปี จีเอ็ม บริษัทรถยนต์อันดับ 1 ของโลก

นำเชฟโรเลตพลิกประวัติศาสตร์สู่เทคโนโลยีปลอดน้ำมันเชื้อเพลิง

หากคุณเป็นคนที่ใช้รถยนต์ คุณอาจไม่รู้เลยว่า อุปกรณ์ในรถยนต์ มีต้นกำเนิดจากที่ใด ใครคิด และนำมาใช้เมื่อไร ทุกวันนี้คุณบิดกุญแจสตาร์ทรถได้ง่ายๆ แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว คุณอาจจะเหงื่อซึมจากการออกไปหมุนสายพานติดเครื่องยนต์ที่กระจังหน้ารถ ถ้า จีเอ็ม บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้ประดิษฐ์ระบบติดเครื่องยนต์ด้วยไฟฟ้าเมื่อปี 1911 ก่อนพัฒนาต่อมาจนปัจจุบันสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารได้ด้วยการใช้รีโมทตั้งแต่ตัวคุณยังไม่ทันได้เข้าไปนั่งในรถ

อุบัติเหตุทางรถยนต์อาจทำให้มีสถิติการบาดเจ็บ และเสียชีวิตมากกว่านี้ ถ้าจีเอ็มไม่ได้นำหลังคาแข็งที่เป็นเหล็กมาใช้กับรถยนต์เป็นครั้งแรกในโลก รวมทั้งการนำกระจกนิรภัยป้องกันการแตกเป็นเศษแก้วมาใช้ตั้งแต่

89 ปีที่แล้ว เพื่อปกป้องผู้ใช้รถให้ได้รับความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งงานสร้างสรรค์เหล่านี้ของจีเอ็มได้รับการ

ต่อยอดมาให้เราได้ใช้งานในรถยนต์ทุกยี่ห้อมาจนถึงปัจจุบัน

ในเวลา 100 ปี จีเอ็มคิดค้น สร้างสรรค์ เขียนประวัติศาสตร์ และทำสถิติมากมาย ในโลกแห่งการขับเคลื่อน ทำให้จีเอ็มเป็นสถาบันยานยนต์อันดับ 1 ของโลก ทั้งจากยอดจำหน่าย และการเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์

ตั้งแต่จีเอ็มก่อตั้งขึ้นเมื่อ เดือนกันยายน ปี 2451 จนกระทั่งเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา จีเอ็มผลิตรถยนต์ออกมาสู่ถนนทั่วโลกถึง 937,000,000 คัน ลองนึกถึงรถยนต์ที่มีความยาวราวๆ 5 เมตรที่จีเอ็มผลิตนำมาเรียงต่อกัน มันจะยาวถึง 4,685,000,000 เมตร หรือกว่า 4.685 ล้านกิโลเมตร สามารถเรียงแถวรอบโลกได้ถึง 117 รอบ! จากเส้นรอบวงของโลก 39,992 กิโลเมตร มันทำให้ระยะทางในการเดินทางรอบโลกของเราดูสั้นลงไปในพริบตา

จีเอ็มยังมีบริษัทรถยนต์ภายใต้แบรนด์ชั้นนำถึง 12 แบรนด์ ที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยมากที่สุดคือ รถยนต์เชฟโรเลต (Chevrolet) รวมทั้ง โอเปิล (Opel) โฮลเด้น (Holden) ซาบ (Saab) หรือ คาดิลแล็ค (Cadillac) จีเอ็มยังมี

ศูนย์การออกแบบ 11 แห่งทั่วโลก ทำให้สามารถออกแบบรถยนต์ได้เหมาะกับความต้องการของผู้คนในทุกซอกทุกมุมโลก ปัจจุบันจีเอ็มมีพนักงานอยู่ทั่วโลกกว่า 284,000 คน มากกว่าจำนวนประชากรในบางประเทศด้วยซ้ำ

นอกจากจะผลิตรถมากที่สุดในโลก จีเอ็มยังคิดค้นพัฒนานวตกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง เครื่องยนต์หลายรูปแบบ รถต้นแบบกว่า 800 รุ่น ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ขณะที่จีเอ็มคัดสรรรถต้นแบบรุ่นที่โดดเด่นมากที่สุดจำนวน 200 รุ่น ไปจัดแสดงไว้ใน GM Heritage Center ณ เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา ให้เป็นศูนย์รวมมรดกทางความคิดและประวัติศาสตร์การพัฒนาด้านเทคโนโลยียานยนต์จากรุ่นสู่รุ่นเพื่อนำมาพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ทีมวิศวกรออกแบบรถยนต์ของจีเอ็ม ต้องทำงานตามการหมุนรอบตัวเองของโลกทั้ง 365 วัน เพื่อคิดค้นเทคโนโลยี ต้นแบบรถรุ่นใหม่ จากการประชุมของศูนย์การออกแบบ 11 แห่งทั่วโลก ไปพร้อมๆ กันตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะระดมความคิด ร่วมกันตัดสินใจ ผ่านทางระบบมัลติมีเดีย ใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟฟิกจำลองภาพเสมือนจริงแบบ 3 มิติ เพื่อดูรายละเอียด ภายนอก-ภายใน ที่เรียกว่า Virtual Reality Design ก่อนสร้างรถต้นแบบ เติมเทคโนโลยีล้ำสมัย กระทั่งนำออกมาแสดงแนวคิด ผ่านงานมอเตอร์โชว์ระดับนานาชาติ ในทุกๆ ปี ก่อนดูความเป็นไปได้ที่จะนำรถต้นแบบมาผลิตเพื่อจำหน่าย และก่อนที่รถแต่ละรุ่นจะออกสู่ตลาดนั้นจะต้องผ่านการทดสอบการใช้งานตามเส้นทางหลายรูปแบบ เป็นระยะทางราวๆ 5,000,000 กิโลเมตร จึงทำให้ทุกคนต้องทำงานเหมือนกับวงโคจรที่ต่อเนื่องแบบไร้ที่สิ้นสุดมาถึง 100 ปี

ในรอบ 1 ศตวรรษ สถาบันอื่นๆ อาจมัวหลงใหลกับอดีตที่ประสบความสำเร็จ แต่จีเอ็มมีมุมมองที่มุ่งไปสู่อนาคตแห่งศตวรรษที่ 2 ผลพวงจากความสร้างสรรค์ใน 100 ปี ทำให้จีเอ็มเป็นสถาบันยานยนต์อันดับ 1 ของโลกตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้จีเอ็มมองไปถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคต อันเป็นที่มาของ “GMnextซึ่งหมายถึง การก้าวสู่อนาคตของจีเอ็ม

ตลอดเวลาที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ราคาน้ำมัน จีเอ็มก็เป็นผู้แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านพลังงานให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด “Energy Solution Provider” เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณมลพิษ

ที่ผ่านมา จีเอ็มใช้พลังความคิดพร้อมทุ่มทุนมหาศาลหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จนสามารถหาหนทางแก้ปัญหาด้านพลังงานในหลายรูปแบบ ทั้งจาก การลดปริมาณการใช้น้ำมัน การหาพลังงานชีวภาพมาทดแทน จนถึงในระดับ ปลอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเชิง ทั้ง การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ Bio Power หรือ เอทานอล ที่จีเอ็มสามารถใช้เชื้อเพลิง E100 คือ ใช้เอทานอลแบบ 100% คิดค้นระบบไฮบริด (Hybrid) เครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันจีเอ็มมีระบบไฮบริด รุ่นที่ 2 ที่ช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนได้ถึง 3 เท่า แต่ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม และยังคิดระบบ Bio Hybrid ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพร่วมกับไฟฟ้า ที่นำมาแสดงเมื่อต้นปี 2551 รวมทั้ง เชฟโรเลต โวลท์ (Chevrolet Volt) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่ด้วยการเสียบปลั๊กไฟเหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน พร้อมยังสามารถสร้างรถยนต์ที่สามารถวิ่งและหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีผู้ขับขี่ได้สำเร็จอย่าง เชฟโรเลต ทาโฮ บอส (Chevrolet Tahoe Boss)

เทคโนโลยีล่าสุดที่จุดประกายความหวังให้กับผู้คน และนำไปสู่การพลิกประวัติศาสตร์ ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ นั่นคือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไฮโดรเจน ฟิวเซล (Hydrogen Fuel Cell) ที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันและไร้มลพิษโดยสิ้นเชิง ที่ขณะนี้กำลังทดลองใช้งานจริงกับรถยนต์ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเอล เซล (Chevrolet Equinox Fuel Cell) จำนวน 100 คัน ที่ถูกส่งไปทดลองใช้ตามเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย และเมื่อทุกอย่างพร้อม จีเอ็มจะเป็นผู้ที่นำเทคโนโลยีจากศตวรรษหน้า มาพลิกประวัติศาสตร์โลกแห่งการขับเคลื่อนของมวลมนุษยชาติที่เอื้อมถึงได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

1. Renaissance Center กลุ่มอาคารขนาดมหึมา ที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ครอบคลุมเนื้อที่ถึง 5.5 ล้านตารางฟุต เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลเกือบ 60 สนาม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดีทรอยท์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา มูลค่าในปัจจุบันสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท และยังเป็นหนึ่งในอาคารธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

2. รถยนต์ Chevrolet Equinox Hydrogen Fuel Cell ที่ปลอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ไร้มลพิษอย่างสิ้นเชิง ไม่มีไอเสีย แต่ส่วนที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีของเชื้อเพลิงไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเจนของระบบ Fuel Cellในเครื่องยนต์จะมีเพียงน้ำบริสุทธิ์ที่หยดออกมาจากปลายท่อไอเสีย

3. Chevrolet Tahoe Boss รถยนต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาคนขับ คุณเพียงกำหนดจุดหมาย นั่งจิบกาแฟหรืออ่านหนังสือพิมพ์ไปในรถ แล้วมันก็จะพาคุณไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย จากการทำงานร่วมกันของ ระบบเซ็นเซอร์รอบคัน สัญญาณดาวเทียม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ละเอียดและการคำนวณอย่างแม่นยำ ทำให้มันสามารถวิ่งและหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ด้วยตัวเอง

4. ภายใน GM Heritage Center ศูนย์รวมมรดกทางความคิดและเทคโนโลยีของจีเอ็ม ผ่านรถต้นแบบ รถยนต์ในอดีต จนถึงปัจจุบัน กว่า 200 รุ่น และอีกประมาณ 600 รุ่นกระจายออกไปทั่วโลก ซึ่งบางรุ่นก็ถูกทางพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ขอนำไปจัดแสดงเพื่อเป็นมรดกทางเทคโนโลยีรถยนต์

5. การตกแต่งโครงดินเหนียวเท่าขนาดจริงในการสร้างรถต้นแบบ

6. รถยนต์ไฮบริดพลังงานชีวภาพ Bio Hybrid คันแรกของโลก

7. Virtual Reality Design Center ศูนย์ออกแบบรถยนต์สุดทันสมัยที่ใช้กราฟฟิกแสดงภาพ 3 มิติ เสมือนจริง เพื่อตรวจสอบรายละเอียดการออกแบบทุกจุด

8. Chevrolet Volt รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ทำให้การหาพลังงานมาขับเคลื่อนกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ เพราะมันสามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่ด้วยการนำไปเสียบปลั๊กไฟเหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน ทำให้มันไปได้ทุกที่ที่มีไฟฟ้า และ Volt ก็กำลังจะออกมาสู่ตลาดในปี 2552 นี้