100 ปี จีเอ็ม บริษัทรถยนต์อันดับ 1 ของโลก
นำเชฟโรเลตพลิกประวัติศาสตร์สู่เทคโนโลยีปลอดน้ำมันเชื้อเพลิง
หากคุณเป็นคนที่ใช้รถยนต์ คุณอาจไม่รู้เลยว่า อุปกรณ์ในรถยนต์ มีต้นกำเนิดจากที่ใด ใครคิด และนำมาใช้เมื่อไร ทุกวันนี้คุณบิดกุญแจสตาร์ทรถได้ง่ายๆ แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว คุณอาจจะเหงื่อซึมจากการออกไปหมุนสายพานติดเครื่องยนต์ที่กระจังหน้ารถ ถ้า “จีเอ็ม” บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้ประดิษฐ์ระบบติดเครื่องยนต์ด้วยไฟฟ้าเมื่อปี 1911 ก่อนพัฒนาต่อมาจนปัจจุบันสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารได้ด้วยการใช้รีโมทตั้งแต่ตัวคุณยังไม่ทันได้เข้าไปนั่งในรถ
อุบัติเหตุทางรถยนต์อาจทำให้มีสถิติการบาดเจ็บ และเสียชีวิตมากกว่านี้ ถ้าจีเอ็มไม่ได้นำหลังคาแข็งที่เป็นเหล็กมาใช้กับรถยนต์เป็นครั้งแรกในโลก รวมทั้งการนำกระจกนิรภัยป้องกันการแตกเป็นเศษแก้วมาใช้ตั้งแต่
89 ปีที่แล้ว เพื่อปกป้องผู้ใช้รถให้ได้รับความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งงานสร้างสรรค์เหล่านี้ของจีเอ็มได้รับการ
ต่อยอดมาให้เราได้ใช้งานในรถยนต์ทุกยี่ห้อมาจนถึงปัจจุบัน
ในเวลา 100 ปี จีเอ็มคิดค้น สร้างสรรค์ เขียนประวัติศาสตร์ และทำสถิติมากมาย ในโลกแห่งการขับเคลื่อน ทำให้จีเอ็มเป็นสถาบันยานยนต์อันดับ 1 ของโลก ทั้งจากยอดจำหน่าย และการเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์
ตั้งแต่จีเอ็มก่อตั้งขึ้นเมื่อ เดือนกันยายน ปี 2451 จนกระทั่งเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา จีเอ็มผลิตรถยนต์ออกมาสู่ถนนทั่วโลกถึง 937,000,000 คัน ลองนึกถึงรถยนต์ที่มีความยาวราวๆ 5 เมตรที่จีเอ็มผลิตนำมาเรียงต่อกัน มันจะยาวถึง 4,685,000,000 เมตร หรือกว่า 4.685 ล้านกิโลเมตร สามารถเรียงแถวรอบโลกได้ถึง 117 รอบ! จากเส้นรอบวงของโลก 39,992 กิโลเมตร มันทำให้ระยะทางในการเดินทางรอบโลกของเราดูสั้นลงไปในพริบตา
จีเอ็มยังมีบริษัทรถยนต์ภายใต้แบรนด์ชั้นนำถึง 12 แบรนด์ ที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยมากที่สุดคือ รถยนต์เชฟโรเลต (Chevrolet) รวมทั้ง โอเปิล (Opel) โฮลเด้น (Holden) ซาบ (Saab) หรือ คาดิลแล็ค (Cadillac) จีเอ็มยังมี
ศูนย์การออกแบบ 11 แห่งทั่วโลก ทำให้สามารถออกแบบรถยนต์ได้เหมาะกับความต้องการของผู้คนในทุกซอกทุกมุมโลก ปัจจุบันจีเอ็มมีพนักงานอยู่ทั่วโลกกว่า 284,000 คน มากกว่าจำนวนประชากรในบางประเทศด้วยซ้ำ
นอกจากจะผลิตรถมากที่สุดในโลก จีเอ็มยังคิดค้นพัฒนานวตกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง เครื่องยนต์หลายรูปแบบ รถต้นแบบกว่า 800 รุ่น ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ขณะที่จีเอ็มคัดสรรรถต้นแบบรุ่นที่โดดเด่นมากที่สุดจำนวน 200 รุ่น ไปจัดแสดงไว้ใน GM Heritage Center ณ เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา ให้เป็นศูนย์รวมมรดกทางความคิดและประวัติศาสตร์การพัฒนาด้านเทคโนโลยียานยนต์จากรุ่นสู่รุ่นเพื่อนำมาพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ทีมวิศวกรออกแบบรถยนต์ของจีเอ็ม ต้องทำงานตามการหมุนรอบตัวเองของโลกทั้ง 365 วัน เพื่อคิดค้นเทคโนโลยี ต้นแบบรถรุ่นใหม่ จากการประชุมของศูนย์การออกแบบ 11 แห่งทั่วโลก ไปพร้อมๆ กันตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะระดมความคิด ร่วมกันตัดสินใจ ผ่านทางระบบมัลติมีเดีย ใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟฟิกจำลองภาพเสมือนจริงแบบ 3 มิติ เพื่อดูรายละเอียด ภายนอก-ภายใน ที่เรียกว่า Virtual Reality Design ก่อนสร้างรถต้นแบบ เติมเทคโนโลยีล้ำสมัย กระทั่งนำออกมาแสดงแนวคิด ผ่านงานมอเตอร์โชว์ระดับนานาชาติ ในทุกๆ ปี ก่อนดูความเป็นไปได้ที่จะนำรถต้นแบบมาผลิตเพื่อจำหน่าย และก่อนที่รถแต่ละรุ่นจะออกสู่ตลาดนั้นจะต้องผ่านการทดสอบการใช้งานตามเส้นทางหลายรูปแบบ เป็นระยะทางราวๆ 5,000,000 กิโลเมตร จึงทำให้ทุกคนต้องทำงานเหมือนกับวงโคจรที่ต่อเนื่องแบบไร้ที่สิ้นสุดมาถึง 100 ปี
ในรอบ 1 ศตวรรษ สถาบันอื่นๆ อาจมัวหลงใหลกับอดีตที่ประสบความสำเร็จ แต่จีเอ็มมีมุมมองที่มุ่งไปสู่อนาคตแห่งศตวรรษที่ 2 ผลพวงจากความสร้างสรรค์ใน 100 ปี ทำให้จีเอ็มเป็นสถาบันยานยนต์อันดับ 1 ของโลกตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้จีเอ็มมองไปถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคต อันเป็นที่มาของ “GMnext” ซึ่งหมายถึง การก้าวสู่อนาคตของจีเอ็ม
ตลอดเวลาที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ราคาน้ำมัน จีเอ็มก็เป็นผู้แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านพลังงานให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด “Energy Solution Provider” เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณมลพิษ
ที่ผ่านมา จีเอ็มใช้พลังความคิดพร้อมทุ่มทุนมหาศาลหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จนสามารถหาหนทางแก้ปัญหาด้านพลังงานในหลายรูปแบบ ทั้งจาก การลดปริมาณการใช้น้ำมัน การหาพลังงานชีวภาพมาทดแทน จนถึงในระดับ ปลอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเชิง ทั้ง การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ Bio Power หรือ เอทานอล ที่จีเอ็มสามารถใช้เชื้อเพลิง E100 คือ ใช้เอทานอลแบบ 100% คิดค้นระบบไฮบริด (Hybrid) เครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันจีเอ็มมีระบบไฮบริด รุ่นที่ 2 ที่ช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนได้ถึง 3 เท่า แต่ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม และยังคิดระบบ Bio Hybrid ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพร่วมกับไฟฟ้า ที่นำมาแสดงเมื่อต้นปี 2551 รวมทั้ง เชฟโรเลต โวลท์ (Chevrolet Volt) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่ด้วยการเสียบปลั๊กไฟเหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน พร้อมยังสามารถสร้างรถยนต์ที่สามารถวิ่งและหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีผู้ขับขี่ได้สำเร็จอย่าง เชฟโรเลต ทาโฮ บอส (Chevrolet Tahoe Boss)
เทคโนโลยีล่าสุดที่จุดประกายความหวังให้กับผู้คน และนำไปสู่การพลิกประวัติศาสตร์ ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ นั่นคือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไฮโดรเจน ฟิวเซล (Hydrogen Fuel Cell) ที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันและไร้มลพิษโดยสิ้นเชิง ที่ขณะนี้กำลังทดลองใช้งานจริงกับรถยนต์ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ ฟิวเอล เซล (Chevrolet Equinox Fuel Cell) จำนวน 100 คัน ที่ถูกส่งไปทดลองใช้ตามเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย และเมื่อทุกอย่างพร้อม จีเอ็มจะเป็นผู้ที่นำเทคโนโลยีจากศตวรรษหน้า มาพลิกประวัติศาสตร์โลกแห่งการขับเคลื่อนของมวลมนุษยชาติที่เอื้อมถึงได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
1.