16 ธ.ค. 2550

Chevy กับ ยานยนต์พลังงานทางเลือก


จีเอ็มนำโลกทะยานสู่ศตวรรษใหม่ กับยานยนต์พลังงานทางเลือก
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยีแห่งผู้นำ


กรุงเทพฯ - มร. จอห์น ธอมสัน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยความก้าวหน้า และความทุ่มเทของเจนเนอรัล มอเตอร์ส ในการคิดค้นเทคโนโลยีการขับขี่แห่งอนาคต เพื่อนำโลกไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ “ที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมัน” ระหว่างการสัมมนา ช่วง “อนาคตแห่งยานยนต์” ในงานแสดงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ และการประชุม สัมมนาแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 2 หรือ ANGVA 2007 (The 2nd Asia-Pacific National Gas for Vehicle Association Conference 2007) มร.ธอมสันเปิดเผยว่า ในโอกาสที่จีเอ็มกำลังก้าวเข้าสู่ 100 ปี ในปี พ.ศ. 2551 ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ จีเอ็มยังคงมุ่งมั่น ที่จะทำตามพันธสัญญาของการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการพึ่งพาน้ำมัน สืบเนื่องจากราคาน้ำมันที่ยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณน้ำมันสำรองที่มีอยู่ไม่อาจรองรับความต้องการพลังงานของทั้งโลกได้ จีเอ็มตระหนักดีว่าอนาคตสำหรับเชื้อเพลิงทางเลือกนั้น คือทางออกของปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ จีเอ็มจึงเร่งคิดค้นและพัฒนายานพาหนะที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้แหล่งพลังงานที่หลากหลายนอกเหนือไปจากน้ำมัน และหลาย ๆ เทคโนโลยีที่จีเอ็มพัฒนาขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันเลยแม้แต่น้อย ขับเคลื่อนสู่อนาคตไปกับเทคโนโลยีล่าสุดจากจีเอ็ม ต่อข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการจัดการอนาคตของยานยนต์ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกของจีเอ็ม มร. ธอมสันกล่าวว่า “จีเอ็มมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องยนต์ที่ให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่สมบูรณ์ทั้งในเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดยเฉพาะเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลนั้นกำลังอยู่ในช่วงเติบโตและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถเดินหน้าผลักดันเทคโนโลยีประหยัดพลังงานได้ต่อไป” รถยนต์ของจีเอ็มทุกคันที่ประกอบและจำหน่ายในประเทศไทยรวมทั้งทั่วภูมิภาคอาเซียน ล้วนใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดที่ให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่สมบูรณ์ ผลที่ได้ก็คือการประหยัดเชื้อเพลิง และลดการปล่อยของเสีย เช่น เชฟโรเลต แคปติวา ซึ่งเสนอทางเลือกในการบริโภคอย่างคุ้มค่า และประหยัดพลังงานให้กับผู้ใช้รถด้วยรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยได้รับค่ามาตรฐานควบคุมมลพิษ ถึงระดับ ยูโร 4 (EURO IV) ส่วนเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ “สองระบบ” (Two-Mode) เครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างพลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้า จัดเป็นเทคโนโลยีดาวเด่นแห่งการขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าของจีเอ็มอีกตัวหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกา จีเอ็มเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดถึง 4 รุ่น ในปีนี้ รวมถึงรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลรุ่นแรกแห่งวงการที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดที่สามารถเผาผลาญเชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสมทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง ส่วนในระดับโลก จีเอ็มมีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดกว่า 16 รุ่นในอีก 4 ปีข้างหน้า หรือกล่าวได้ว่าจีเอ็มจะแนะนำรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดทุก ๆ ไตรมาสเลยทีเดียว นอกจากนี้ จีเอ็มกำลังลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียม โดยเพิ่มการผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่างเช่น อี 85 เอธานอล (E85 ethanol) “ในสหรัฐอเมริกาขณะนี้มีรถของจีเอ็มที่วิ่งด้วยเชื้อเพลิงแบบ E85 อยู่มากถึง 2 ล้าน 5 แสนคัน” มร.ธอมสันกล่าว “ในประเทศบราซิล รถยนต์ทั้งหมดของจีเอ็มที่ใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นระบบ เฟล็กซ์-ฟิวล์ Flex-Fuel ซึ่งสามารถใช้เชื้อเพลิงได้ทั้งแอลกอฮอล์ หรือเอธานอลเพียงอย่างเดียว และสำหรับประเทศไทย รถยนต์ทุกรุ่นของจีเอ็มสามารถใช้น้ำมันก๊าซโซฮอล์ได้เช่นกัน” ในอนาคต จีเอ็มยังคงทุ่มเทความพยายามเพื่อส่งรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนออกสู่ตลาดเพื่อเป็นการแก้ปัญหาพลังงานขาดแคลนในระยะยาว ด้วยการเปลี่ยนพลังงานเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าทำให้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนให้พลังงานที่สะอาดที่สุด เพราะแทบไม่ก่อมลพิษใด ๆ เลย ยนตรกรรมการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านี้ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การขับเคลื่อน รวมทั้งความทนทานของระบบต่าง ๆ และเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีเอ็มได้เปิดตัวโครงการ “Project Driveway” ซึ่งเป็นการทดลองตลาดของรถยนต์ ฟิวล์เซลล์ Fuel Cell ครั้งแรกที่ใหญ่ที่สุด โดยให้ผู้ขับขี่หลากหลายอาชีพ นำรถ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ เอฟซีวี (Chevrolet Equinox Fuel Cell Vehicles) กว่า 100 คัน ไปใช้งานในพื้นที่ และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เพื่อพิจารณาภาพรวมของสมรรถนะรถยนต์ และการเติมเชื้อเพลิงด้วยไฮโดรเจนในพื้นที่เศรษฐกิจ ทั้งในลอสแอนเจลีส และในเมืองใหญ่อย่าง นิวยอร์ค รวมถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะช่วยให้จีเอ็มสามารถรวบรวมข้อคิดเห็นจากการใช้งานจริง รวมไปถึงพฤติกรรมการเติมไฮโดรเจนของผู้บริโภค และนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนารถยนต์รวมถึงกำหนดแผนการตลาดสำหรับเทคโนโลยีนี้ในขั้นต่อไป ซีเอ็นจี (CNG) พลังงานทางเลือก คำตอบสำหรับประเทศไทย “เมื่อกล่าวถึงประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ตลาดยังเปิดกว้างอีกมากสำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากเรายังมีแหล่งทรัพยากรไฮโดรคาร์บอนจำนวนมหาศาลในทะเลจีนใต้” มร.ธอมสันให้ข้อสังเกต ในปีที่ผ่านมา จีเอ็มเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่แนะนำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลด้วยเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG) นั่นคือ เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท และออพตร้า ซีดาน เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ซึ่งสามารถเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินหรือก๊าซซีเอ็นจี ได้ตามต้องการเพียงแค่กดสวิตช์ ด้วยประสิทธิภาพและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ออพตร้า เอสเตท เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันแรกและคันเดียวในประเทศไทยที่ได้รับ “ฉลากเขียว” จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (สสท.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (สมอ.) และยังเป็นรถยนต์ที่ติดตั้งระบบซีเอ็นจีเพียงรุ่นเดียวในตลาดที่กล้าให้การรับประกันคุณภาพถึง 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เพื่อยืนยันความมั่นใจถึงคุณภาพของระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีอีกด้วย ซึ่งความสำเร็จของรถยนต์รุ่นนี้วัดได้จากการตอบรับเป็นอย่างดีของผู้ขับขี่ชาวไทย ด้วยยอดจองในงานบางกอกมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งกว่า 60% ของยอดจองออพตร้าทั้งหมดเป็นยอดจองของออพตร้า ซีเอ็นจี ด้วยคุณประโยชน์ที่เหนือกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง คือ ซีเอ็นจี เป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดที่สุด และให้ค่าอ็อคเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน ซีเอ็นจี ปลอดภัยและใช้งานง่าย พิจารณาได้จากอัตราการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ ซีเอ็นจี มีราคาที่ถูกกว่าน้ำมันมาก คือเพียงกิโลกรัมละ 8.50 บาท ถูกที่สุดในท้องตลาดเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ ในยุโรป จีเอ็มวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงซีเอ็นจีราว 18,000 คันภายในปีนี้ เป็นการแสดงให้เห็น ความพยายามของจีเอ็มในการสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการพึ่งพาการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นไปตามพันธสัญญาของจีเอ็ม และเชฟโรเลตทั่วโลก ไม่เพียงเท่านี้ จีเอ็มยังได้เปิดตัวรถยนต์แห่งอนาคต อี-เฟล็กซ์ “E-Flex” ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน โดยใช้เทคโนโลยีแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโครงข่ายระบบแผงส่งพลังงาน (Power Grid) ไฟฟ้าจากมอเตอร์ที่ทำงานด้วยพลังงานเชื้อเพลิงจากก๊าซซีเอ็นจี ไบโอเอทานอล หรือ น้ำมันเบนซิน อย่างเช่น เชฟโรเลต โวลท์ ซึ่งเปิดตัวที่ดีทรอยท์เมื่อเดือนมกราคม หรือพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน เช่น เชฟโรเลต โวลท์ รุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวในเซี่ยงไฮ้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา “เราเชื่อมั่นในศักยภาพของเรา ศักยภาพของผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของโลกที่จะสร้าง พัฒนา และยกระดับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการมอบพลังงานสะอาด ให้แก่โลก และใช้พลังงานที่มีราคาไม่สูงจนเกินไป ที่จีเอ็ม เราได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่แห่งการขับขี่ ‘อนาคตสีเขียว’ แห่งยานยนต์ได้เริ่มขึ้นแล้ว” มร.ธอมสันสรุป