29 มิ.ย. 2550

“แรมรอนแดนร้อยเกาะ ลัดเลาะไข่มุกอันดามัน”







“อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” 2550
เส้นทางที่ 2 ภาคใต้ : สุราษฎร์ธานี - ภูเก็ต
“แรมรอนแดนร้อยเกาะ ลัดเลาะไข่มุกอันดามัน”

วันที่ 29 มิถุนายน 2550


9.35 น. ออกเดินทางไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 1253
10.50 น. เดินทางถึงสนามบินสุราษฎร์ธานี ออกเดินทางโดยรถตู้ปรับอากาศไปท่าเรือสินมานะฟาร์ม
11.40 น. เดินทางโดยเรือยนต์ไปสินมานะฟาร์ม
12.15 น. รับประทานอาหารกลางวัน โดยมีเมนูเด่นเป็นหอยนางรมสดจากทะเลแท้ ๆ แกล้มไวน์ขาว และชมการสาธิตวิธีการเลี้ยงหอย และการเลือกอาหารทะเลสด
15.30 น. ออกเดินทางโดยเรือยนต์กลับสู่ท่าเรือ
16.00 น. เดินทางโดยรถตู้ปรับอากาศไปยังโรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า
16.40 น. เข้าที่พัก ณ โรงแรมไดมอนด์ จ.สุราษฎร์ธานี และพักผ่อนตามอัธยาศัย
18.00 น. ออกเดินทางไปร้านลำพู 2
18.20 น. รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านลำพู 2

วันที่ 30 มิถุนายน 2550

07.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารไข่มุก โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า พร้อมเช็ก-เอาท์
08.00 ออกเดินทางสู่บริษัท ประจักษ์อุตสาหกรรม (1982) จำกัด สาขา ในเมือง
08.30 – 08.45 น. พิธีปล่อยรถ ณ บริเวณซุ้มปล่อยรถ
08.45 – 09.45 น. ออกเดินทางสู่โรงเรียนบ้านช่องไม้งาม อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี
09.45 – 10.30 น. ร่วมบริจาคสิ่งของให้แก่เด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านช่องไม้งาม
10.30 – 10.45 น. ออกเดินทางไปเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) จ. สุราษฎร์ธานี
10.45 – 11.00 น. ถ่ายรูปและชมบรรยากาศของเขื่อนรัชชประภา ณ บริเวณจุดชมวิว
11.00 – 11.15 น. ออกเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน
11.15 – 12.30 น. เที่ยวชมโรงไฟฟ้าเขื่อนรัชชประภา
12.30 – 13.30 น. รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านครัวเชี่ยวหลาน ในเขตเขื่อนรัชชประภา
13.30 – 15.00 น. ออกเดินทางสู่ จ.ภูเก็ต
15.00 – 15.30 น. ขบวนแวะพักที่บริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด สาขาโคกกลอย
15.30 – 16.15 น. ออกเดินทางสู่วัดพระผุด จ.ภูเก็ต
16.15 – 16.45 น. นมัสการหลวงพ่อพระผุด
16.45 - 17.15 น. ออกเดินทางสู่ที่พัก
17.15 น. เช็ก-อิน ณ โรงแรมป่าตอง พารากอน และพักผ่อนตามอัธยาศัย
18.45 ออกเดินทางสู่โรงแรมเกรซแลนด์ เพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ
19.00 - 21.00 น. ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในบรรยากาศ “เรือโจรสลัด” พร้อมร่วมกิจกรรมบันเทิงหลากหลาย ณ ห้องอาหารโรงแรมเกรซแลนด์
21.00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันที่ 1 กรกฎาคม 2550

10.00 น. ออกเดินทางสู่ร้านอาหารครัวสะปำ จ.ภูเก็ต
10.30 – 11.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารครัวสะปำ จ.ภูเก็ต
12.45 น. ออกเดินทางสู่สนามบินดอนเมือง เที่ยวบินที่ TG 1206
14.10 น. เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

**************************************************
ตามหมายกำหนดการนี้น่าสนุกแน่ มีการพิสูจน์สมรรถนะอีซูซุอย่างจริงจังแอบซุ่มอยู่ เนื่องจากกำลังเป็นหน้ามรสุม ฝน ลม แรง เป็นการท้าทายความแปรปรวนของอากาศท่ามกลางข่าวเครื่องบินตกท่ีเขมร ในภูมิภาคใกล้เคียงกัน

ผมไม่กลัวหรอกครับ แต่เกรงว่าอีซูซุ อาจเปลี่ยนบางกำหนดการเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเป็นคาราวานทัวร์มีทั้งเด็ก ๆ สาว ๆ ไปเป็น้อย ๆ ชีวิต !!

ดีนะท่ีมีการจิบไวน์แกล้มหอยนางรมสด ๆ กลางทะเลของเมืองหอยใหญ่อย่างสุราษฎร์ธานี เป็นการผจญภัยท่ีน่าตื่นเต้น

*************************************************

วันนี้ตื่นแต่เช้า ดึก เนื่องจากต้องกินยา หลังจากอาการฟันหนุ่ม(เขี้ยวซาว) อักเสบมาหลายวันทุเลาขึ้นมาก มันปวดแบบทรมาน กินยาแก้ปวด 3 ขนาน จึงเอาอยู่ เขาว่าสมุนไพรกานพลู สามารถระงับปวดเฉพาะท่ี โดยเฉพาะอาการปวดฟันได้ดี เมื่อวานไปรื้อตู้กับข้าวช่วงท่ีปวดหนัก ๆ ปรากฎว่า ไม่มี มีแต่เครื่องเทศอย่างอื่น นึกโมโหเกือบจะเขมือบเครื่องเทศทั้งห่อซะแล้ว มันปวดจนโมโห

ก่อนท่ีจะปลดความปวดออกจากขากรรไกรได้ผมแทบแย่ อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้เลยมันปวดมาก

ท่านท่ีเคยมีฟันคุดคงรู้ฤทธิ์มันดี นี่ก็เหลืออยู่แค่กรามขวาบนท่ียังไม่ถอนออกไป

กลับมาคราวนี้ต้องไปหาหมอฟันอย่างแน่นอน

**********************************************

อีก 8-9 ซั่วโมงก็จะได้จิบไวน์ขาวกลางฟาร์มหอยใหญ่แล้ว โชคดีท่ีหายปวดฟัน แต่ไม่ลืมเตรียมยาไว้สู้กับอาการปวดท่ีอาจกลับมาอีกแบบกระทันหัน

04.41 น. 29 มิ.ย.2550

รถไทย สมควรจะมี ?



บันทึก เมื่อเดือน สิงหาคม 2547

รถไทย สมควรจะมี
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์บอกว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 15 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก และฝันอยากจะก้าวให้ถึงอันดับที่ 14 ในปี 2549 โดยสามารถผลิตรถได้รวม 1 ล้านคัน
เมื่อถึงปี 2553 ก็ฝันว่าจะก้าวขึ้นสู่ระดับท็อปเทน โดยมีเป้าหมายจะต้องผลิตรถได้ถึง 1.8 ล้านคัน
ภาครัฐบาลจึงออกแรงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในระดับแนวหน้าของเอเชีย โดยไม่เน้นว่าจะมีรถเป็นยี่ห้อของไทยเอง แต่อาศัยยักษ์ใหญ่ทั้งหลายร่วมลงทุน แล้วต่างร่วมผลิตรถในฝันนี้ออกมา
ที่ผ่านมามีการส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทข้ามชาติมาทำโรงงานประกอบรถยนต์ในบ้านเรา จนกระทั่งใน
ปี 2546 เราสามารถผลิตรถได้ทั้งหมด 755,512 คัน ส่งออก 235,022 คัน นอกนั้นขายในประเทศ มีทั้ง ญี่ปุ่น ฝรั่งยุโรป พวกอเมริกัน
แต่การแข่งขันยังไม่ได้ทำให้ราคารถในประเทศไทยถูกลง เพราะมีเงื่อนไขมากมายในการผลิต ซึ่งปัจจุบันเน้นเรื่องการทำชิ้นส่วนในประเทศระดับไม่ไฮเทคมากนัก และการใช้แรงงานในการประกอบ ก็ต้องยอมรับกันว่าผลประโยชน์ตกกับคนไทยมากเหมือนกัน
ถึงวันนี้เจ้าของเทคโนโลยี่และผู้ผลิตเครื่องมือไฮเทคได้เข้ามาตั้งหลักโชว์ และขายของที่น่าจะเป็นความลับ หรือทีเด็ดกันมากขึ้น ประเภทเครื่องขึ้นรูปชิ้นงานละเอียด เครื่องเจาะโลหะที่ซับซ้อน เช่นเจาะรูเล็ก ๆ ประเภทรูหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ลองคิดดูซิว่าสว่านแบบไหนจึงจะเจาะรูเล็ก ๆ ในเนื้อโลหะที่แข็งมาก ๆ อย่างนี้ได้
นี่คือความยาก หรือไม้ตายของประเทศอุตสาหกรรมที่เขาผ่านการพัฒนามานานนับร้อยปี หากเราจะเริ่มตอนนี้ ไม่ต้องใช้เวลามากถึงขนาดนั้น ขอเพียงใจที่ตั้งมั่น /จริงจัง และมีแผนที่แน่นอน ก็จะบรรลุผลได้
เดี๋ยวนี้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเขาก้าวขึ้นสู่ระดับนาโนเทคโนโลยี่ที่ใช้ความรู้ระดับสูงลิบกันแล้ว
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมระดับแนวหน้า พวก “จี-7, จี-8” กำลังบินสูงเหนือเมฆขึ้นไปอีกหลายชั้น หากเราไม่พัฒนาตัวเอง ก็จะเป็นได้แค่ผู้ใช้แรงงานในการผลิตเท่านั้น
วางแผน/มีโครงการที่ชัดเจน ปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเองเสียใหม่ โดยพัฒนาจิตสำนึก อาจใช้หลักเสริมสร้างพลังทางจิตวิญญาณให้เข็มแข็งก่อนเป็นอันดับแรก แล้วการผลิตรถประเภท อีโค คาร์ หรือรถเล็กทรงประสิทธิภาพ ราคาไม่แพง พร้อมกับรถในกลุ่มเดียวกันจากการร่วมลงทุนโดยผู้ผลิตรถหลากหลายที่มาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ก็จะประสบผลสำเร็จ รถในฝันเหล่านั้นนอกจากใช้กันในบ้านเราแล้ว ก็สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดโลกได้
นี่คือผลที่จะได้จาก 1 ใน 5 ของยุทธศาสตร์สำคัญของอุตสาหกรรมไทย มีข้อแม้ว่ารัฐบาลต้องมีนโยบายต่อเนื่องไม่ขาดตอน
..สินค้าไฮเทคที่เราเห็นว่าเป็นความฝัน ก็จะกลายเป็นความจริงได้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสได้เป็นเจ้าของรถใหม่กันบ้าง
องอาจ วังซ้าย

************************************************

เหตุการณ์ปัจจุบันเมื่อ สองวันที่ผ่านมา
************************************************

ข่าวในประเทศ - ค่ายยักษ์ “โตโยต้า” ส่งสัญญาณขอความชัดเจนกรอบเงื่อนไขอีโคคาร์ หวังหาช่องทำคลอดอีโคคาร์ให้เข้าทางตัวเองมากที่สุด โดยล่าสุดจับไต๋ได้ 2 แนวทาง คือขึ้นไลน์ผลิตใหม่ ด้วยการใช้แฟลตฟอร์มของ โตโยต้า วีออส-ยาริส พัฒนาให้เป็นอีโคคาร์ แต่ยังคาใจตัวเลขการผลิต 1 แสนคันต่อปี ในปีที่ 5 ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ จึงเตรียมบุกบีโอไอขอคำตอบจะนำตัวเลขการผลิต “วีออส-ยาริส” มารวมได้หรือไม่ พร้อมรุกถามต่อหากนำเข้ารถเล็กขนาด 1.3 ลิตร จากประเทศอาเซียนตามข้อตกลงอาฟต้า สามารถใช้สิทธิประโยชน์เสียภาษีสรรพสามิต 17% ได้หรือไม่ ซึ่งถือเป็นอีกแนวทางที่ตอกย้ำกระแสข่าว โตโยต้าไม่หนุนอีโคคาร์ เพราะได้ลงทุนผลิตรถเล็กในอินโดนีเซียและมาเลเซียไปแล้ว และเตรียมจะส่งออกมายังไทย ซึ่งหมายถึง “โตโยต้า พาสโซ่” หรืออาจจะเป็น “Perodua Myvi” รถเล็กที่ใช้พื้นฐานของพาสโซ่ ที่หากนำเข้ามาจะแปลงร่างเป็นแบรนด์ “โตโยต้า” บุกตลาดไทย แต่หากไม่สำเร็จทุกแนวทาง โตโยต้าพร้อมที่จะนำรถเหล่านี้ มาชนกับอีโคคาร์ได้อย่างสบาย หลังเปิดเสรีการค้าตามข้อตกลงอาฟต้าในปี 2553


โตโยต้า พาสโซ่ ที่ทำตลาดอยู่ในอินโดนีเซียปัจจุบัน อาจจะเป็นตัวเลือกของโตโยต้า ในการนำมาพัฒนาเป็นอีโคคาร์ หรือถูกนำเข้ามาทำตลาดในไทยก็ได้

การมีมติเห็นชอบอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ ของคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตามมาด้วยการประกาศกำหนดเกณฑ์ของอีโคคาร์ เพื่อขอสนับสนุนการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ทำให้การแจ้งเกิดอีโคคาร์ที่ยืดเยื้อมานาน 4-5 ปี ใกล้ความเป็นจริงแล้วเกือบ 100% เหลือเพียงรายละเอียดปลีกย่อย และการออกเป็นกฏกระทรวงอย่างเป็นทางการเท่านั้น และรอวันที่จะมีผลบังคับใช้ 2 ตุลาคม 2552 เท่านั้น

เรื่องดังกล่าวได้ทำให้บริษัทรถยนต์บางค่ายยิ้มแป้นทันที แต่บางยี่ห้อก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับเงื่อนไขหลายข้อของอีโคคาร์ แต่เมื่อหน่วยงานที่มีอำนาจและรัฐบาลมีมติเห็นชอบเช่นนี้ ทุกยี่ห้อที่สนใจจะผลิตอีโคคาร์ก็ต้องยอมรับ และปรับตัวให้เข้ากับกรอบอีโคคาร์ให้ได้ หรือไม่ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ไปเลย

แน่นอนยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” ย่อมไม่ยอมยกธงขาวง่ายๆ แน่ แม้จะไม่มีแผนที่ชัดเจนในการผลิตอีโคคาร์ หรือรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เช่นเดียวกับค่าย “ฮอนด้า” ที่กำลังพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการผลิตรถประเภทนี้อยู่แล้ว การประกาศสนับสนุนให้เกิดอีโคคาร์ จึงส่งผลดีต่อและทำให้ฮอนด้าได้เปรียบเป็นอย่างมาก

ในฐานะผู้นำโตโยต้าย่อมไม่ยอมสูญเสียตลาด ให้คู่แข่งได้เก็บก้อนเค้กไปกินเพียงฝ่ายเดียวแน่ เหตุนี้จึงต้องพยายามหาสินค้าที่มีอยู่ในตลาด นำมาผลิต หรือพัฒนาให้ตรงกับเงื่อนไขของอีโคคาร์ให้ได้ ซึ่งนับจากที่มีการประกาศกรอบของอีโคคาร์ออกมา เมื่อพิจารณาจากคำกล่าวของผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้า พอจับสัญญาณแนวทางที่จะคลอดอีโคคาร์ออกมาได้ 2 ช่องทางด้วยกัน



เริ่มจากแนวทางแรกที่ได้รับการเปิดเผยออกมา ตั้งแต่กรอบเงื่อนไขอีโคคาร์ยังไม่ชัดเจน โดย “มิทซึฮิโระ โซโนดะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า……

“ไม่ว่าคณะรัฐมนตรีจะประกาศเงื่อนไขอะไรออกมา โตโยต้าจะเป็นยี่ห้อที่พร้อมผลิตอีโคคาร์ออกมา โดยอาจจะใช้รุ่นเดิม โตโยต้า ยาริส และวีออส แล้วเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ได้ตามกำหนด หรือใช้แพลตฟอร์มของรถดังกล่าวมาพัฒนาให้เป็นอีโคคาร์”

ชัดเจนไม่ต้องแปลให้มากความ จากคำกล่าวของบอสใหญ่ โตโยต้า ถึงแนวคิดที่จะพัฒนาอีโคคาร์จากพื้นฐานตัวถัง หรือแพลตฟอร์มของ โตโยต้า วีออส และโตโยต้า ยาริส ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้แพลตฟอร์มร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งไม่เพียงโตโยต้าไม่ต้องพัฒนารถใหม่หมด ยังทำให้อีโคคาร์มีต้นทุนลดลงอย่างมาก นอกจากการสนับสนุนภายใต้เงื่อนไขอีโคคาร์

ในส่วนของเครื่องยนต์ยิ่งไม่น่าห่วงนัก เพราะโตโยต้า ยาริส มีเครื่องยนต์ที่มีขนาดตามกรอบกำหนดของอีโคคาร์ ทำตลาดอยู่แล้วในยุโรป ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1300 ซีซี และเครื่องยนต์ดีเซล 1400 ซีซี และยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงใกล้เคียงกับที่กำหนด 20 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร จึงไม่ยากที่โตโยต้าจะพัฒนาให้ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

แต่โตโยต้าก็ยังมีความเป็นห่วงหากจะทำการผลิตในไทย เพราะตามเงื่อนไขขอสนับสนุนการลงทุนจากบีโอไอ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้ครบก่อนรับสิทธิประโยชน์เสียภาษีสรรพสามิต 17% โดยจะต้องใช้เงินลงทุนเป็นแพ็กเกจทั้งโครงการไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และต้องผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 4 ใน 5 ส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่โตโยต้าต้องคิดให้รอบคอบ



“โตโยต้าเป็นห่วงเงื่อนไขที่กำหนดให้ผลิต 1 แสนคัน ในปีที่ 5 เนื่องจากประเทศในอาเซียน หรือประเทศที่นิยมรถประเภทนี้ ต่างผลิตกันอยู่แล้ว จึงไม่มั่นใจว่าอีโคคาร์จะเข้าไปมีส่วนแบ่งตลาดได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งอีโคคาร์เป็นรถขนาดเล็กไม่เหมือนปิกอัพ ที่ตลาดค่อนข้างกว้าง และจากการวิจัยของโตโยต้าพบว่า รถขนาด 1300 ซีซี ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก”

นั่นคือคำกล่าวของ “ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ซึ่งดูแลการวางแผนการผลิตรถยนต์ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมกับยกตัวเลขสนับสนุนว่า….. “ปัจจุบันโตโยต้ามีการผลิตรุ่นวีออส ทำตลาดในไทยและส่งออกไปยังประเทศอาเซียนได้เพียงปีละ 60,000 – 70,000 คันเท่านั้น หากจะผลิตอีโคคาร์ให้ได้ครบแสนคันในปีที่ 5 อีโคคาร์ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะหาตลาดที่ไหนมารองรับ”

จากปัญหาเรื่องปริมาณการผลิต ทำให้โตโยต้าพยายามส่งสัญญาณ ขอคำตอบจากบีโอไอถึงความเป็นไปได้หรือไม่? หากจะนับรวมรถขนาด 1500 ซีซี จากการประกอบโตโยต้า วีออส และยาริส ไปรวมกับอีโคคาร์ขนาด 1300 ซีซี เพื่อให้บรรลุตามเงื่อนไขกำหนดต้องผลิตรถให้ได้ 100,000 คันต่อปี ในปีที่ 5 ของโครงการอีโคคาร์เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม หากแผนการผลิตในไทยไม่สามารถบรรลุได้ตามต้องการ หรือเห็นว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนแน่นอน โตโยต้ายังมีอีกแผนที่พยายามนำเสนอเป็นโมเดลความคิด เพื่อหาทางออกให้ตัวเองได้สามารถแจ้งเกิดอีโคคาร์ในไทยได้สำเร็จ โดยภายหลังจากการประกาศเงื่อนไขสนับสนุนอีโคคาร์ของบีโอไอ ศุภรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า…..

“ในการเข้าหารือกับบีโอไอสัปดาห์นี้ โตโยต้าจะขอความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตที่จะได้รับ 17% เพราะหากมีการนำเข้ามาจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟตา ที่จะได้ลดภาษีนำเข้าเหลือ 5% โดยอยากทราบว่ารถยนต์ที่นำเข้ามามีขนาดเครื่องยนต์ 1300 ซีซี จะได้รับสิทธิภาษีสรรพสามิต 17% ด้วยหรือไม่?”


Perodua Myvi รถเล็กจากมาเลเซีย ที่พัฒนามาจากรุ่นพาสโซ่

ชัดเจนไม่ต้องแปลอีกเช่นกัน โตโยต้าพยายามมองหาช่องทางอื่นๆ ที่อาจจะไม่ต้องผลิตรถในไทย ด้วยเปลี่ยนเป็นนำเข้าจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนแทน ซึ่งสอดคล้องกับกระแสข่าวตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่า สาเหตุที่โตโยต้าไม่ค่อยเห็นด้วยกับโครงอีโคคาร์ เพราะไม่ได้มีแผนผลิตรถประเภทนี้ในไทย แต่ได้ลงทุนขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กในอินโดนีเซียและมาเลเซีย เพื่อส่งออกทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว

และหากย้อนกลับไปมองความเคลื่อนไหวของโตโยต้าในภูมิภาคอาเซียน จะเห็นว่ามีการส่งสัญญาณออกมาชัดเจนพอสมควร โดยเมื่อประมาณปี 2004 โตโยต้าได้ร่วมกับพันธมิตร “ไดฮัทสุ” พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กสู่ตลาด ภายใต้ชื่อ “โตโยต้า พาสโซ่” และ “ไดฮัทสุ บุน” พร้อมส่งทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับรายละเอียดของโตโยต้า พาสโซ่ เป็นรถยนต์แฮทช์แบ็ก 5 ประตู มีเครื่องยนต์มีให้เลือก 2 ขนาด 1,300 ซีซี รหัส K3-VE 90 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 12.6 กก.-ม. ที่ 3,600 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 18 กิโลเมตรต่อลิตร และเครื่องยนต์ 1,000 ซีซี รหัส 1KR-FE 71 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 9.6 กก.-ม. ที่ 3,600 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 21 กิโลเมตรต่อลิตร


นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของโตโยต้า

นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า โตโยต้าอาจจะนำเข้ารถขนาดเล็กจากมาเลเซีย “Perodua Myvi” ซึ่งเป็นรถพื้นฐานเดียวกับ โตโยต้า พาสโซ่ และบุนของไดฮัทสุ โดยใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ 1000 ซีซี ที่ใช้ระบบวาล์วแบบ Dynamic Variable Valve Timing และเครื่องยนต์ 1300 ซีซี 4 สูบ ที่ใช้ใน โตโยต้า อแวนซ่า ซึ่งรถรุ่นนี้ได้มีการประกอบและส่งทำตลาดในมาเลเซียตั้งแต่กลางปี 2005 ในราคาประมาณกว่า 3.8 แสนบาท และตามแผนที่ประกาศออกมา รถรุ่นนี้ยังมีเป้าหมายที่ถูกจะส่งออกไปทำตลาดยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่จะถูกส่งมาทำตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ “โตโยต้า”

แต่ดูเหมือนเรื่องนี้คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะเงื่อนไขของบีโอไอชัดเจนแล้วว่า จะต้องผลิตและชิ้นส่วนในไทย ด้วยมูลค่าลงทุนรวมทั้งโครงการไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สองสัญญาณแผนทำคลอดอีโคคาร์โตโยต้าในไทย จะเป็นผลิตในไทยโดยใช้พื้นฐานของโตโยต้า วีออส และยาริส มาพัฒนาเป็นอีโคคาร์ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นเรื่องดีต่อประเทศไทย แต่หากไม่สำเร็จและเลือกใช้วิธีนำเข้าแทน ไม่ว่าจะสามารถสวมสิทธิ์อีโคคาร์ได้หรือไม่? “โตโยต้า” สามารถบุกตลาดรถเล็กได้สบายๆ โดยอาศัยสิทธิประโยชน์อาฟต้า โดยไม่ต้องง้อโครงการอีโคคาร์เลยก็ได้!!

26 มิ.ย. 2550

ไม้ไล่หนู ที่ข้างถนน







ขับรถไปเจอไม้ไล่หนู

เมื่อขับรถไปต่างจังหวัดมีใครไม่เคยเจอแผงลอย หรือซุ้มขายไม้ไล่หนูบ้าง ?

เจอทุกคนนั่นแหละ เจ้าไม้ไล่หนูนี่ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นกระบองเอาไว้ไล่ตีหนู แต่ที่ไหนได้เป็นเศษไม้ท่อนเล็ก ๆ ยาวท่อนละ 2-3 นิ้ว มัดรวมกันเป็นมัด ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางเจ้ามีโลโก้ตราสินค้าเสียด้วย

มันอะไรกันนักหนา มันสามารถไล่หนูได้จริง ๆ หรือ ขนาดผมเอาปืนลมยิงมันยังไม่เข็ด ยังกลับมาโชว์ตัวอีกในเวลาไม่นาน แล้วไม้ที่ว่ามันวิเศษมาจากไหน ?

คำตอบมีแน่นอนครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมเผลอจอดรถพิสูจน์และซื้อมาชุดหนึ่ง มี 6 มัด ราคาหลายสิบบาท มีคำบอกว่าสามารถไล่หนูได้โดยนำไปวางไว้ตามที่ที่หนูชอบเดินมาป้วนเปี้ยน

ตามโต๊ะอาหาร ตู้เสื้อผ้าหรือซอกมุมต่าง ๆ ที่หนูใช้เป็นทางเดิน

ก็ได้นำไปวางไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันยังวิ่งผ่านไปมาอยู่เหมือนเดิม หรือว่ามันเป็นหนูยุคคอมพิวเตอร์ ?

ไม้ที่ว่านั้นจากเอกสารของ อภัยภูเบศรสาร ของร.พ.อภัยภูเบศร ปราจีนบุรี ผู้ผลิตยาสมุนไพรมีชื่อก้องประเทศ แจ้งว่า

มันคือยี่โถ เป็นไม้พุ่ม ลำต้นแตกกอมาก ดอกมีสีทั้งขาว ชมพู แดง และเหลือง มีชนิดดอกลา (ชั้นเดียว) ละดอกซ้อน บางชนิดมีกลิ่นหอม บางชนิดดอกไม่มีกลิ่น คนทั่วไปนิยมปลูกเป็นไม้ประดับไว้ดูดอกสวย ๆ จนถึงปัจจุบัน

คนรุ่นปู่รุ่นย่านิยมปลูกไว้ใกล้ ๆ ยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกเพื่อป้องกันหนูมากินข้าวที่เก็บไว้ บางทีก็ใช้ทั้งต้นอุดช่องที่หนูเจาะผนังยุ้งฉาง วางไว้บนตู้และใต้ตู้กับข้าวไล่แมลงสาบ ไล่หนู

เรื่องของเรื่องคือต้น ใบ และดอกมันเป็นพิษครับ มีพิษร้ายแรง ใบและดอกมีสารที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ถ้าใช้พอเหมาะจะเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ถ้ามากไปก็ถึงตายได้

ส่วนของรากและเปลือกใช้เป็นยาภายนอก รักษากลากเกลื้อน แผลพุพอง ใช้เป็นยาพอกแผล เมล็ดนำมาบดแช่น้ำใช้เป็นยาฆ่าแมลง

เห็นไหมว่ามันทำท่าจะไล่หนูได้จริง ๆ

พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ขับรถไปเจอก็ช่วยซื้อของชาวบ้านมาสักชุด สองชุด

แต่อย่าเผลอเอาไปต้มกินเป็นยาหม้อก็แล้วกัน มีหวังส่งโรงพยาบายแหง ๆ !!

29 มิ.ย.-1 ก.ค. 2550 ไปผจญคลื่นลมมรสุม และฝน "ใต้"


เช้าวันนี้ (26 มิ.ย. 2550) มีรายงานพยากรอากาศ ที่ทำให้ต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะต้องไปภาคใต้ ไปทัวร์คาราวาน กับอีซูซุ จากสุราษฎร์ธานี สาย ๆ วันศุกรท่ี 29 มิ.ย. ไปดูฟาร์มหอย ข่าวแจ้งว่าไปนอนในฟาร์ม ลักษณะฟาร์มสเตย์เสียด้วย ดีท่ีข่าวพยากรอากาศบอกว่าคลื่นไม่สูงมากนัก แต่หากโชคไม่ดีเกิดลมแรงขึ้นมาตอนกำลังนอนหลับคงไม่สนุกนัก อีกวันไปภูเก็ต

งานนี้จะไปพิสูจน์ว่าดอนเมืองยังใช้ได้ดีเยี่ยมอยู่หรือไม่ ? และพิสูจน์อีกว่าสมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ท่ีภาคใต้เป็นเช่นไร ? ได้แต่อ่านข่าวมาหลายสิบปีแล้ว เจอของจริงละทีนี้ !!

*************************************************************

ลักษณะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นในระยะ 2-3 วันนี้( 26-29 มิ.ย.) ลักษณะดังกล่าวจะทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร และอ่าวไทยคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะ 2-3 วันข้างหน้าไว้ด้วย

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ตาก ลำปาง แพร่ และพิจิตร อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักและมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากบริเวณจังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหารและมหาสารคาม อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ ชม.

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางแห่ง บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และลพบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนัก และ ลมกระโชกแรงบางแห่งบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 32 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. มีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2-3 เมตร

แรกสัมผัส เชฟโรเลต แคปติวา...รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองไทย







เชฟโรเลต แคปติวา
สมดุลของการขับขี่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต

****************************************************
หมายเหตุ. ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเพียว ๆ จาก จีเอ็ม
****************************************************
รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองไทย เชฟโรเลต แคปติวา ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเผยโฉมครั้งแรกในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยความลงตัวของการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองได้ทั้งลักษณะการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เพื่อการท่องเที่ยว หรือใช้เป็นรถครอบครัว ซึ่งแคปติวามีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละรูปแบบการใช้ชีวิต
โดยมีให้เลือกใช้งานทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์เจอร์
แบบแปรผัน ในระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
และระบบขับเคลี่อน 4 ล้อ แบบ AWD (All Wheel Drive)

เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงสามารถตอบสนองการใช้งานที่สะดวกสบายเหมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังแฝงการขับขี่แบบสปอร์ต คล่องตัว ทำให้สามารถใช้งานได้ดีทั้งในเมือง การวิ่งทางไกล หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่สมบุกสมบันมากขึ้น ซึ่งแคปติวาได้ผ่านการทดสอบใช้งานบนเส้นทางในสภาพต่าง ๆ
ทั่วโลกมาแล้วกว่า 5 ล้านกิโลเมตร


รูปทรงหรูหรา สปอร์ตสไตล์รถยุโรป

จากการร่วมกันออกแบบโดยศูนย์ออกแบบของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส 11 แห่งทั่วโลก คัดเลือกจากต้นแบบมากถึง 450 ตัวอย่าง ทำให้แคปติวามีความลงตัวในด้านของรูปลักษณ์ ที่มีทั้งความหรูหรา ทรงพลัง และสปอร์ต เหมือนรถ SUV ระดับพรีเมียมของยุโรป โดดเด่นด้วยกระจังหน้าและสัญลักษณ์โบว์ไทของเชฟโรเลตขนาดใหญ่ ที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายเพื่อทำให้รถดูทันสมัยตลอดเวลา โคมไฟหน้าขนาดใหญ่พร้อมหลอดไฟกลมคู่ เสริมความดุดันด้วยไฟตัดหมอกทรงกลม ชายล่างกันชนยังเสริมแคร็งกันกระแทกที่ทำให้รถดูสมบุกสมบันมากยิ่งขึ้น

ด้านข้างของรถสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงความกว้างของห้องโดยสาร จากช่วงความยาวฐานล้อจากดุมล้อหน้าถึงดุมล้อหลัง ที่มีความยาวถึง 2,707 มิลลิเมตร ซุ้มล้อขนาดใหญ่พร้อมล้ออัลลอยแบบ Multi-Spoke ที่ออกแบบมาให้เสริมความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนหลังคาโค้งรับกับส่วนหน้าของตัวรถ ทำให้มีความโค้งมนกลมกลืนตลอดตัวถัง และยังช่วยให้ลดแรงเสียดทานอากาศมากขึ้น

ส่วนด้านท้ายรถถูกออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเปิดบานกระจกบังลมหลังแยกจากประตูด้านท้ายเพื่อความสะดวกในการหยิบหรือใส่ของชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตูท้ายรถทั้งบาน พร้อมเสริมก้านปัดน้ำฝนด้านหลังเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นยามขับขี่ การออกแบบยังโดดเด่นด้วยกรอบไฟท้ายที่ซ่อนไฟถอยหลังทรงกลมสีขาดตัดกับโคมสีแดง ขณะที่ชายล่างกันชนเสริมแคร็งกันกระแทกสีอลูมิเนียมให้ดูดุดันพร้อมกับท่อไอเสียแบบท่อคู่แยก ซ้าย-ขวา ที่เน้นให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น



ประกอบภายในอย่างประณีต หนักแน่น เคร่งขรึม

นอกจากความกว้างขวางภายในห้องโดยสารของแคปติวาแล้ว ทุกส่วนได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตกลมกลืน และเน้นโทนสีเทาเข้มที่ดูเคร่งขรึม ทั้งในส่วนของแผงประตูด้านใน คอนโซลหน้า และเบาะหนังคุณภาพสูงสไตล์รถยุโรป โดยใช้แถบสีอลูมิเนียมในการตกแต่งส่วนต่าง ๆ อย่างทันสมัยลงตัวทั้งในส่วนของก้านจับเปิดประตู แผงคอนโซลกลาง และพวงมาลัย พร้อมติดตั้งเครื่องเสียงแบบ Built-in ที่มีคุณภาพสูง รองรับการเล่น วิทยุ CD และ MP3 ได้ 6 แผ่นใส่จากด้านหน้า พร้อมติดตั้งปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียงบนพวงมาลัย Multi-function เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการขับขี่

ด้านบนของแผงคอนโซลกลางยังมีจอแสดงผลข้อมูลของการขับขี่ DIC (Driver Information Center) ที่จะแสดงข้อมูลของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่รถสามารถวิ่งต่อไปได้เมื่อคำนวณจากความเร็วและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือในถัง พร้อมบอกอุณหภูมิภายนอกรถ ข้อมูลการทำงานของระบบปรับอากาศ และเข็มทิศ ที่เรือนไมล์ออกแบบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดความเร็ว เป็นทรงกลมล้อมกรอบอลูมิเนียมในสไตล์ของเชฟโรเลต พร้อมสัญญาณไฟเตือนต่าง ๆ ที่ชัดเจนสะดุดตา ช่องเก็บของที่คอนโซลฝั่งคนนั่งด้านหน้ายังมีช่องเก็บความเย็นสำหรับเก็บเครื่องดื่มให้เย็นฉ่ำตลอดการเดินทาง จากการออกแบบช่องเก็บของให้มีช่องรับลมเย็นจากท่อส่งแอร์ทำให้สามารถเก็บความเย็นให้เครื่องดื่มได้

ที่แท่นเกียร์ออกแบบให้ทันสมัยด้วยสีอลูมิเนียมเช่นกัน พร้อมเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทิปทรอนิค (Tiptronic) ที่เข้ามาเพิ่มทางเลือกในการขับขี่ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นเสมือนขับรถเกียร์ธรรมดา

แม้ว่าภายในของแคปติวาถูกออกแบบให้กว้างขวางและมีถึง 7 ที่นั่ง แต่สามารถเดินทางได้อย่างสบายจากการติดตั้งพัดลมแอร์ที่ข้างเบาะนั่งแถวที่ 3 ทำให้ได้รับความเย็นทั่วทั้งห้องโดยสาร และถ้าต้องการพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการพับเบาะนั่งแถวที่ 3 ให้ราบลงไปเหมือนเป็นพื้นรถ ก็จะทำให้มีปริมาตรในการขนสัมภาระที่ 465 ลิตร และถ้าหากต้องการเพิ่มเนื้อที่ให้มากขึ้นอีก ก็ยังสามารถพับเบาะแถวที่ 2 ลง ซึ่งจะทำให้มีเนื้อที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากถึง 930 ลิตร


ตอบสนองทุกความสะดวกเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงแต่ได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัวทุกสัดส่วน แต่ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับผู้โดยสารและเสริมความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบวัดปริมาณน้ำฝนด้วย Rain Sensor ที่ช่วยปรับความเร็วในการปัดน้ำฝนตามปริมาณเม็ดฝนที่กระทบบนกระจกบังลมหน้า

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ที่จะทำงานทันทีเมื่อมีความเข้มของแสงอาทิตย์น้อยลง ไม่ว่าจะเป็น การขับรถลอดอุโมงค์ ขับขี่ในอาคารที่จอดรถ หรือยามค่ำคืน และไฟจะดับลงโดยอัตโนมัติเช่นกันเมื่อมีความเข้มของแสงมากขึ้น และขณะขับขี่ในเวลากลางคืนเมื่อท่านดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก เพียงสักครู่ไฟหน้าก็จะปิดโดยอัตโนมัติเช่นกัน และเมื่อกดรีโมทปลดล็อกประตูเพื่อจะขับรถต่อไปไฟหน้าก็จะติดให้โดยอัตโนมัติอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังมีระบบขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ (Cruise Control) ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ทางไกล หรือขับขี่ในพื้นที่ที่มีการจำกัดความเร็ว พร้อมยังมีระบบตัดไฟเลี้ยวอัตโนมัติที่ช่วยป้องกันการลืมเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ขณะขับขี่ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในขณะเปลี่ยนเลน ขณะขับแซงรถคันหน้า โดยการสัมผัสโยกก้านไฟเลี้ยวเพียงเบา ๆ ไฟเลี้ยวจะกระพริบเพียงแค่ 3 จังหวะและดับไปเองโดยอัตโนมัติ แต่หากต้องการเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ก็ใช้การโยกก้านไฟเลี้ยวแบบปกติทั่วไป


จุดเด่นของ แคปติวา ที่เหนือกว่ารถ SUV รุ่นอื่นใด คือ มีระบบ Self-Levelizer ที่ช่วยปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกขึ้นเป็นระนาบเดียวกันกับด้านหน้าด้วยกลไกอัตโนมัติ เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระหนักที่ด้านท้ายรถ ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ เพราะระบบ Self-Levelizer จะปรับสมดุลให้ช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังอยู่ในแนวขนานกับพื้นถนนเท่ากัน ไม่ทำให้ด้านหน้ารถเชิดขึ้น สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย มีทัศวิสัยที่ดีตลอดการขับขี่


ให้สมรรถนะสูงทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล

จากการออกแบบให้แคปติวา สามารถตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้เป็นรถครอบครัว หรือขับขี่ท่องเที่ยวสมบุกสมบันมากขึ้น ทำให้แคปติวามีสมรรถนะการขับขี่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สมดุลกับความต้องการใช้งาน

เชฟโรเลต แคปติวา รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ปริมาตรกระบอกสูบ 2,405 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 2,200 รอบ/นาที

ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร ฝาสูบเดี่ยว SOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศ เทอร์โบ ชาร์เจอร์ แบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำ 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด Tiptronic ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้ขับขึ่สามารถใช้งานได้สะดวกสบายเมื่อขับในระบบอัตโนมัติ และหากต้องการความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นก็สามารถใช้เกียร์ Tiptronic เพื่อให้การขับขี่ด้วยเกียร์อัตโนมัติเสมือนเกียร์ธรรมดา

ขณะเดียวกันระบบเกียร์ของแคปติวา ยังมีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล ไม่มีอาการกระตุก และตอบสนองได้รวดเร็วแม้จะเป็นการขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ด้วยการตอบสนองจังหวะ Kick-down ที่รวดเร็ว และให้ระยะเร่งรอบเครื่องสูงนานมากพอที่จะให้ความปลอดภัยขณะเร่งแซง หรือต้องการทำความเร็ว

นอกจากการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ดีเยี่ยมแล้ว แคปติวายังคงเอกลักษณ์โดดเด่นของเชฟโรเลต ด้วยระบบช่วงล่างที่มีความนุ่มนวล เกาะถนนเป็นเยี่ยมในระดับรถพรีเมียม ของยุโรป จากการติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ McPherson Struts และด้านหน้าแบบ 4-Link


ความประหยัดและปลอดภัยด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand

รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทั่วไป หรือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time นั้นมักจะสร้างปัญหาในเรื่องอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand ในเชฟโรเลต แคปติวา จะช่วยให้มีความประหยัด เนื่องจากในสภาพการขับขี่บนถนนปกติ ระบบขับเคลื่อนจะถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้าแบบ 100% ในอัตราส่วน 100:0 เหมือนกับรถขับเคลื่อนล้อหน้าทั่วไป ซึ่งการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อสภาพของถนนเปลี่ยนไป เช่น สภาพถนนเปียกลื่น เมื่อระบบจับได้ว่าล้อขับเคลื่อนคู่หน้ามีอาการลื่นไถล หรือหมุนฟรี ระบบจะสั่งจับเฟืองท้ายล็อกเพลาหลังเพื่อถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หลังเพื่อดันให้ล้อหน้าหลุดจากอาการลื่นไถล หรือล้อหมุนฟรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และควบคุมรถได้อย่างมั่นคง โดยระบบจะถ่ายทอดกำลังแรงบิดไปยังล้อหน้าและล้อหลังในอัตราส่วนต่าง ๆ ตามสภาพของถนนว่ามีความลื่นมากแค่ไหน จากการอ่านค่าของตัวเซ็นเซอร์ที่จับความเร็วของล้อที่หมุนฟรี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในอัตราส่วน 50:50 อัตราส่วน 60:40 หรือ 70:30 นั่นจึงทำให้ เชฟโรเลต แคปติวา มีความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า และมีความคล่องตัว ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ตลอดเวลา

เสริมสมดุลให้กับชีวิตการขับขี่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต

ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ของแคปติวา ยังเพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบให้กับการใช้งานรถ SUV ที่เหนือชั้นกว่ารถยนต์ในระดับราคาเดียวกันด้วย “เทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติ” (Self Balancing Integration Technology) ที่ช่วยให้ทุกชีวิตการขับขี่ดำเนินไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด

ESP (Electronic Stability Program) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว คือ ระบบที่ช่วยควบคุมทิศทางการขับขี่ ป้องกันการเกิดอาการ Oversteering หรือ Understeering จากการประเมินการเคลื่อนที่ของรถกับองศาการหมุนของพวงมาลัย ถ้าเกิดการเสียสมดุล ระบบ ESP จะเพิ่มแรงเบรก และลดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ตามทิศทางและองศาการหมุนของพวงมาลัยที่ผู้ขับขี่บังคับ

HDC (Hill Descent Control System) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบนี้ ด้วยการกดปุ่มควบคุม HDC บนคอนโซลกลาง ในจังหวะที่ลงทางชัน ซึ่งระบบจะช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ และเบรก ให้สัมพันธ์กันโดยอัตโนมัติ เพื่อจำกัดความเร็วของรถ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบแป้นเบรก หรือเลียเบรกขณะขับลงเขา หรือเนินชัน

ARP (Active Rollover Protection) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ระบบนี้จะตรวจจับแรงเหวี่ยงจากการหักหลบ หรือการเข้าโค้ง พร้อมกระจายแรงเบรกไปที่ล้อทั้ง 4 ด้วยน้ำหนักต่าง ๆ กันอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ และทำให้สามารถควบคุมรถให้กับมาสู่สภาวะปกติได้โดยง่าย (ในสภาวะการขับขี่และความเร็วที่เหมาะสม)

นอกเหนือจากความปลอดภัยจากระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่งสไตล์รถยุโรป ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand และเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดแล้ว เชฟโรเลต แคปติวา ยังมีค่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยถึงระดับ 4 ดาว จากการทดสอบการชนของ Euro NCAP (www.euroncap.com) ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยขณะขับขี่ ขณะเดียวกัน เชฟโรเลตยังมอบความมั่นใจในคุณภาพของแคปติวาสูงสุด ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมง จากบริการ Roadside Assistance และศูนย์บริการเชฟโรเลต 103 แห่งทั่วประเทศ

หากท่านได้ลองขับ เชฟโรเลต แคปติวา จะทำให้ท่านรู้สึกได้กับสมดุลของการขับขี่ ความลงตัวของ แคปติวา ที่จะให้สมดุลกับทุกรูปแบบการใช้ชีวิต

*************************************************
*************************************************
ทดลองขับ ในโรงงาน หลังจากปล่อยคันที่ 1 ออกจากสายพานการผลิต

*************************************************

ผลการทดลองขับในโรงงาน บนเส้นทางทดสอบรถใหม่ ที่เพิ่งออกจากสายพานการผลิต เมื่อบ่ายวันที่ 21 มิถุนายน 2550 เป็นเหมือนการทักทาย เพื่อรอเวลาการทดสอบระยะทางไกลแบบเดี่ยว ๆ ซึ่งทาง จีเอ็ม ได้เตรียมรถ ไว้ 10 คัน เพื่อให้สื่อมวลชนสายรถยนต์ โดยเฉพาะผู้เขียนคอลัมน์ทดสอบรถทั้งหลายได้ยืมมาลองขับเป็นพัน ๆ กิโลเมตร เพื่อรายงานประสิทธิภาพระบบใหม่ ๆ โดยเฉพาะระบบช่วยการทรงตัว ซึ่งมีในรถ CAPTIVA เป็นระบบที่ทำงานด้วยกลไก และบางอย่างควบคุมด้วยอีเล็คทรอนิก ก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป ว่าจะเยี่ยมยอดอย่างท่รถราคาหลาย ๆ ล้านมีหรือไม่

ในการทดสอบสั้น ๆ ในสนามทางทดสอบที่โรงงานระยอง นอกจากรุ่น ขับเคลื่อน แบบออลวีลไดร๊ฟ์ ที่สื่อเกือบทุกคนที่ไปได้ลองกันแล้ว ผมเองโชคดีที่เป็นหนึ่งเดียวได้ลองรุ่นขับ 2 เฉพาะล้อหน้า เพื่อพยามยามข้ามสิ่งทางที่เป็นโรลเล่อร์เฉพาะล้อหน้าขวา ซึ่งรถจะไม่สามารถไปต่อได้

หากเป็นรุ้นขับ 4 แบบออลไทม์ ระบบจะถ่ายเทแรงขับสู่ล้อหลังตามสภาพเส้นทาง อาจจะเป็น 50/50 หรือ 60/40 ก็ได้ ซึ่งทุกคันสามารถผ่าทุกเส้นทาง และสิ่งกีดขวางไปได้อย่างง่ายดาย

******************************************************************

รายละเอียดเพิ่มเติมเชิญที่ http://www.chevroletthailand.com/captiva/

******************************************************************
วันที่ 6-9 ก.ค.2550 ผมถึงคิวรับรถ แคปติวา ออลวีลไดร๊ฟ์ 2.4 ลิตร มาทดสอบ

หลังจากวันนั้นก็จะรีบรายงานครับ

ไปสกลนคร เตรียมงานใหญ่ที่นั่น

สายวันที่ 5 มิถุนายน 2550 ผมไปรับรถอีซูซุ ดีแม็กซ แค็บโฟร ที่สำนักงานใหญ่บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลล์ จำกัด เพื่อเป็นยานไปประสานงานกับกลุ่มที่ชื่นชอบเครื่องเสียงรถยนต์ของที่นั่น

ก็จะถือโอกาสรายงานการขับทางไกล การใช้มาตรวัดความสิ้นเปลืองแบบดิจิตอล การทดสอบดีซีเอส สารตัวเติม ดีเซล ที่บริษัท อีโคโน ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งมีจำหน่ายตามปั๊มน้ำมัน แบะร้านค้าสินค้าเกียวกับรถยนต์ทั่วประเทศ ว่ามีผลต่อการขับ ต่อพลัง ต่ออัตราความสิ้นเปลืองบ้างไหม ?

อีกงานที่ต้องทำคือรายงานสไตล์ ดิสคับเวอรรี่ไทยแลนด์ มีของดี ๆ ที่สกลนครมากนะจะบอกให้ โดยเฉพาะวัดป่า ผมเคยไปปฎิบัติธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์เมื่อหลายปีก่อนที่นั่น บรรยากาศสงบ พระสงฆ์มีวัตรปฎิบัติเคร่งมาก เช้าตรู่จะเรียงรายไปโปรดสัตว์ ให้ชาวบ้านได้ใส่บาตร มีประชาชนจากในเมืองนำข้าวปลาอาหารไปถวายมากมาย แม้แต่ส่งทางการบินไทยไปร่วมทำทาน เป็นรายการที่ผู้คนไปรวมกันยามเช้าทุกวัน และมักถือโอกาสทานมื้อเช้าที่นั่นด้วย เพราะอาหารมากมายเหลือก็ทิ้งเปล่า ๆ

หากโอกาสอำนวยผมจะแวะไปร่วมนั่นสมาธิ ช่วง ตี 4-ตี 5 ไม่วันใดก็วันหนึ่งเพราะค้างที่นั่น 2 คืน กลับ กทม.วันที่ 8 มิ.ย.2550 ครับ

อ้อ..จะพยายามหาไวน์ผลไม้ไทย ตลอดจนไวนแท้ ๆ ที่ผลิตจากองุ่นมาลองชิม และเล่าให้ฟังด้วย เพราะไวน์ในเมืองไทยมีชุกชุม ทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค คงมีผลไม้แปลก ๆ รสชาติแปลก มาทำกันอย่างแน่นอน

********************************************************************************
26 มิ.ย.2550

ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ฃ่วงนั้นไม่เหมือนที่เคยไป ไม่มีผู้คน ไม่ได้พัก เพียงแค่ไปถ่ายรูป

วัดป่าก็เป็นแบบนี้ เขามีระเบียบของเขาเคร่งครัด เราเป็นชาวบ้านธรรมดา บางทีก็เข้าใจยาก

25 มิ.ย. 2550

MAZDA เพิ่มผู้บริหารใหม่ 2 คน ลุยด้านการจัดจำหน่าย




มาสด้าเสริมทัพ 2 ผู้บริหารมือดีรองรับการเติบโตทางธุรกิจ
เน้นพัฒนาผู้จำหน่าย เร่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
*************************************************************
หมายเหตุ.ข่าวด่วนจากมาสด้า

ภาพบน คุณเกริกฤทธิ์ คำสุระ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์


ภาพล่าง คุณประเสริฐ กำธรกิตติกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการผู้จำหน่าย
*************************************************************

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 25 มิถุนายน 2550 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเสริมแม่ทัพฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และฝ่ายพัฒนาธุรกิจผู้จำหน่าย โดยส่งมือดี ลูกหม้อเก่าอย่าง นายเกริกฤทธิ์ คำสุระ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Satisfaction Director) ตอกย้ำนโยบายการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า พร้อมแต่งตั้ง นายประเสริฐ กำธรกิตติกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการผู้จำหน่าย (Dealer Operation Director) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางด้านธุรกิจของผู้จำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เน้นสร้างความแข็งแกร่ง และการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกฝ่าย เพื่อให้ลูกค้ามาสด้าเกิดความพอใจสูงสุดอันเป็นเป้าหมายหลักและเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญหลักของมาสด้าในปีนี้

มร. จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้าเล็งเห็นความสำคัญของการรักษาและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอันดับ 1 เราจึงแต่งตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ เนื่องจากมาสด้าประสบความสำเร็จอย่างสูงสำหรับยอดขายที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงคำนึงถึงบริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้ามาสด้าวางใจในคุณภาพและบริการของเรา รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินกิจการของมาสด้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมทั้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าและผู้แทนจำหน่าย มาสด้าจึงแต่งตั้งผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญในงานดังกล่าวเป็นอย่างดี ได้แก่คุณเกริกฤทธิ์และคุณประเสริฐ ผนวกเข้ากับการทำงานร่วมกันเป็นทีมของพนักงานมาสด้า ผมมั่นใจว่า เราจะสามารถทำให้การเติบโตของมาสด้าทั้งในด้านของภาพลักษณ์ตราสินค้า การบริการหลังการขาย รวมทั้งการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ตลอดจนการเสริมสร้างธุรกิจตลอดการบริการหารจัดการของผู้จำหน่ายให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางด้านยอดการจำหน่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
"ผมยังคงเชื่อมั่นในพลังของทีมงานที่มีหัวใจ ซูม ซูม และศักยภาพของพนักงานมาสด้าทุกคน และแน่นอนที่สุด จากการให้การสนับสนุนและความร่วมมือของสื่อมวลชน เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเติบโตของมาสด้าในประเทศไทย ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และในเวลาอีกไม่นานนี้ มาสด้ายังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาด ผมเชื่อว่าขณะนี้มาสด้าได้เดินมาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะความสามารถและประสบการณ์ในด้านการบริหารของทั้ง 2 ท่าน ผมมั่นใจว่าเราสามารถทำให้การเติบโตของมาสด้าทั้งในด้านผลประกอบการของผู้แทนจำหน่าย ด้านภาพลักษณ์ของสินค้า บริการหลังการขาย รวมทั้งยอดขายจะเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป "มร. จอห์น กล่าวเสริม


คุณประเสริฐ กำธรกิตติกุล ผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่า 20 ปี ก่อนหน้าที่จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการผู้จำหน่ายที่มาสด้าเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสด้านพัฒนาธุรกิจ BNW Thailand เป็นเวลา 3 ปี มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาธุรกิจของผู้จำหน่าย สำหรับหน้าที่ความรับผิดชอบหลักที่มาสด้าคือการประสานงานประผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาในการบริหารธุรกิจ การจัดการต่าง ๆ รวมทั้งการจัดฝึกอบรม การให้คำแนะนำในการพัฒนาปรับปรุงการบริการหลังการขาย ตลอดจนการประเมินวัดผลความพึงพอใจของผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าของบริษัท เป็นต้น


ทางด้านคุณเกริกฤทธิ์ คำสุระ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลูกหม้อคนสำคัญอยู่กับมาสด้ามานานกว่า 25 ปี นับเป็นอีกขุนพลสำคัญของมาสด้าที่มีความเข้าใจในตลาด เข้าใจความต้องการของผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าเป็นอย่างดี และเป็นผู้ที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งดังกล่าวในการผลักดันนโยบายและเป้าหมายสำคัญของมาสด้าเพื่อให้มาสด้าประสบความสำเร็จในการสร้างความพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้ามาสด้า ก่อนหน้าที่จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์หลากหลายเกือบครบทุกด้าน ไม่ว่าจะฝ่ายขายลูกค้ารายใหญ่ ฝ่ายขายในประเทศ ฝ่ายขายปลีก ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนงานด้านการพัฒนาผูแทนจำหน่าย เป็นต้น
ทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้า ที่ตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม และมั่นใจในความปลอดภัย ในราคาสุดพิเศษพร้อมทั้งรับค่าบำรุงรักษาฟรีตลอดระยะเวลา 3 ปี สนใจสามารถติดต่อขอทดลองขับรถยนต์มาสด้าทุกรุ่ ได้ที่โชว์รูม และศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้าทั้ง 87 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2661-9880 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

Honda Racing Fest ครั้งที่ 2 16 มิ.ย.2550












วันที่ 16 มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมาไปดูงานฮอนด้าเฟส ครั้งที่ 2 ที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา ครั้งนี้แดดแรงเหมือนเดิม ขบวนการโชว์ตื่นเต้นเร้าใจ คือ การกลับรถแบบ เจ-เทิร์น เห็นกันจะ ๆ ว่าผู้ที่ฝึกมาอย่างดีสามารถถอยหลังด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. แล้วกลับรถทันทีทันได้บนนถนนได้อย่างไม่มี่ปัญหา

***********************************************
ส่วนผลการแข่ง เป็นไฟล์ภาพ คลิ๊กแล้วเป็นขนาดใหญ่อ่านได้เลย ภาพการแข่งถ่ายโดยฮอนด้า

ภาพที่จุดสตาร์ต ขณะโชว์เวลาก่อนแข่ง ผมถ่ายเองจากด้านตรงข้ามหอควบคุม

DUNLOP SP SPORT LM 703




สยามพารากอน 24 มิถุนายน 2550
****************************************************

ท่ีสยามพารากอน ชั้น 5 ดันลอป ได้แถลงข่าวเปืดตัวยางรุ่นใหม่ DUNLOP SP SPORT LM 703 ซึ่งเป็นยางนวัตกรรมใหม่ในกลุ่ม COMFORT RADIAL เน้นความนุ่มนวล เสียงขบถนนเงียบลง ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ดีทั้งถนนแห้งและทางชุ่มน้ำ สะใจผู้ขับรถสไตล์สปอร์ตตี้ทั้งหลาย

การออกแบบ DUNLOP SP SPORT LM 703 นั้นใช้เทคโนโลยี DRS II เป็นการจำลองการใช้งานจริงขณะขับขี่ในทุกสภาพถนนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ได้กำหนดรูปแบบจำลองการใช้งานอย่างชัดเจนตามความต้องการ จึงมีการทดสอบสมรรถนะจากยางจริง โดยการเปรียบเทียบกับยาง COMFORT ทั่วไปในตลาดปัจจุบัน

DUNLOP SP SPORT LM 703 มีความโดดเด่นกว่าเดิม (รุ่น DUNLOP LEMAN 702) ในทุกด้าน

DUNLOP SP SPORT LM 703 คือยางสำหรับผู้ใช้รถบยต์วัยทำงาน หรือระดับผู้บริหารระดับต้น ๆ เช่นรถซีดาน รถแวกอนขนาดกลาง ฯลฯ ท่ีต้องการความนุ่มนวล เงียบ และสะดวกสบายในการขับขี่ รวมทั้งู้ท่ีรักกลิ่นอายในการขับด้วยความเร็วแบบสปอร์ตตี้อีกด้วย

ต้องลองใช้กันหน่อยละมั้ง

********************************************************

ท่านท่ีสนใจโปรดเข้าไปที่

http://www.ityre.com/en/tyres/catalog/dunlop/model/20470/

หรือท่ี

http://www.dunloptire.co.th

New Mazda3 เปิดตัว 13 มิถุนายน 2550





























เปิดตัวไสตล์ ซูม ซูม ที่ Bed Super Club สุขุมวิท 11

กลางวันแสก ๆ ที่ผู้สื่อข่าวและนายแบบต้องเหงือหยด ท่ามกลางความตื่นเต้นเร้าใจ ที่คุณสุรีทิพย์ ละอองดาว ผอ.ฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ย้ำว่ามาสด้า 3 มีดีเต็มร้อย พร้อมราคามิตรภาพ

มาสด้า 3 สำหรับผู้ที่ต้องการความเป้นตัวของตัวเอง ไม่เลียนแบบใคร ด้วยการออกแบบพิถีพิถัน ประนีณด้วยวัสดุระดับเยี่ยม มาตรฐานยุโรป มีเกียร์แอ๊คทีปเมติก ท่บอกตำแหน่งเกียร์ได้ทั้งโหมดออโต้ และแบบเกียร์ธรรมดา ระบบความปลอดภัยสูงมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า พวงมาลัยปรับ 4 ทิศทาง

มาสด้า 3 กวาดรางวัล ต่าง ๆ ถึง 81 รางวัล ทั่วโลกตั้งแต่ออกสู้ตลาดเมื่อ 3 ปีก่อน ในไทยก็ได้รถยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน

รรายละเอียดอื่น ๆ จะรายงานต่อไป โปรดรอสักนิด

************************************************************************

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 13 มิถุนายน 2550 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กระตุ้นตลาดรถยนต์เก๋งภายในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวแนะนำ New Mazda3 ที่สร้างความฮือฮามากที่สุด ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตแบบ "ซูม ซูม" ด้วยดีไซน์อันโฉบเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด และขีดสุดแห่งพลังที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว ชูธงความเป็นรถยนต์คุณภาพเกินราคา เหนือทุกความคาดหมายของลูกค้า ตั้งราคาเริ่มต้นเพียง 816,900 บาท หลายฝ่ายมั่นใจจะเป็นจุดเปลี่ยนให้มาสด้ากลับมาสู่กระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง

มร. บรูโน เชอร์เวท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์ New Mazda3 "สนุกไปกับเส้นทางแห่งชัยชนะในแบบคุณ" ซึ่งจัดได้ว่ารถยนต์มาสด้า 3 เป็นไอคอนหนึ่งของซูม ซูม ที่สามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของมาสด้าทั่วโลก รวมทั้งมาสด้า ประเทศไทย เพราะได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นรถญี่ปุ่นที่มีคุณภาพเหนือกว่ารถยุโรปชั้นนำหลายรุ่น โดยประสบความสำเร็จทั้งทางด้านยอดขาย และการคว้ารางวัลมาแล้วมากมายกว่า 81 รางวัลทั่วโลก รวมทั้ง Thailand Car of the Year 3 ปีซ้อน นอกจากนี้มาสด้าเป็นรถยนต์ที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งด้านความปลอดภัยจากรายงานความปลอดภัยทางยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอันหนึ่งของโลก ซึ่งจัดทำขึ้นโดย "วอแรนตี ไดเร็คท์" (Warranty Direct) บริษัท ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับประกันคุณภาพยานยนต์ชั้นนำ ดังนั้นจึงมั่นใจว่ารถยนต์ New Mazda3 นี้ จะสร้างความสุขและความพึงพอใจให้กับลูกค้ามาสด้าทุกท่าน
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า New Mazda3 นับเป็นรถยนต์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามากที่สุด โดยแนวทางการทำตลาดที่ผ่านมาจะเน้นความเป็นรถยนต์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเครื่องยนต์ 1600 – 2000 ซีซี. และคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีการประกอบที่ประณีตด้วยวัสดุเกรด A ทั้งอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ที่มากับตัวรถอยู่ในระดับเดียวกับรถยุโรปชั้นนำ อาทิ ระบบเกียร์ "แอ๊คทีฟเมติก" (Activematic) ที่บอกตำแหน่งเกียร์ทั้งโหมดเกียร์ออโตเมติคและโหมดแบบเกียร์ธรรมดา ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ ไฟตัดหมอก ไฟท้ายพร้อมหลอด LED แอร์อัตโนมัติ เครื่องเล่น CD/MP3 6 แผ่น พร้อมเครื่องเล่นซีดี พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง กระจกมองข้างปรับและพับแบบไฟฟ้า ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เบาะหนังปรับพับได้ กุญแจรีโมทแบบพับเก็บ นอกจากนี้ พิเศษสำหรับรุ่น 2,000 ซีซี ด้วยถุงลมนิรภัยด้านข้าง ม่านนิรภัย SRS ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ล้ออัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว
สำหรับราคาจำหน่ายรถยนต์ New Mazda3 ใหม่ รุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี. รุ่น New Entry เริ่มต้นด้วยราคา 816,900 บาท และยังเพิ่มรุ่น Mazda3 Spirit Sport 5 ประตู เบาะหนัง ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี. ราคาเริ่มต้นเพียง 1,019,900 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับคุณภาพของรถ อุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ระบบความปลอดภัยรอบคัน และอุปกรณ์ตกแต่งที่มาพร้อมกับตัวรถ ราคาแต่ในละรุ่นของ New Mazda3 ระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Activematic 4 สปีด ประกอบด้วย

รุ่น เครื่องยนต์ ราคาจำหน่าย
Mazda3 Groove MZR 1,600cc. 816,900 บาท (เริ่มจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2550)
Mazda3 Spirit MZR 1,600cc 861,900 บาท
Mazda3 Spirit Sport MZR 1,600cc. 884,900 บาท
Mazda3 Spirit Sport (เบาะหนัง) MZR 1,600cc. 899,900 บาท
Mazda3 Maxx MZR 2,000cc. 1,019,900 บาท
Mazda3 Maxx S/R MZR 2,000cc. 1,058,900 บาท
Mazda3 Maxx Sport MZR 2,000cc. 1,044,900 บาท
Mazda3 Maxx Sport S/R MZR 2,000cc 1,083,900 บาท

สำหรับแนวการตลาดแบบ ซูม ซูม จะเน้นการนำเสนอรูปแบบการตลาดเน้นที่ความแปลกใหม่ ทั้งงานโฆษณาและรูปแบบกิจกรรมที่จะจัดสู่ตลาด ซึ่งหลังจากเปิดตัวกับสื่อแล้ว จะเป็นการจัดแสดงโรดโชว์ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายเริ่มจากในกรุงเทพและขยายวงออกไปต่างจังหวัด

นางสาวสุรีทิพย์ กล่าวว่า มาสด้าได้เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อรองรับการเปิดตัว New Mazda3 ในครั้งนี้อย่างเต็มที่ทั่วประเทศ โดยจะเน้นกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์การทดลองขับ และกิจกรรมเสริมที่สนุกสนานภายใต้แนวความคิด "ซูม ซูม" สำหรับในกรุงเทพช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม โดยจะจัดบูธแสดงรถยนต์มาสด้า3 รุ่นใหม่นี้ที่ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เซ็นทรัลบางนา เซ็นทรัลพระราม 2 เซ็นทรัลรัตนาธิเบต ห้างแฟชั่นไอซ์แลนด์ ห้างฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และต่างจังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศไทย
“มาสด้าประสบความสำเร็จในการทำตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ โดยนับตั้งแต่มาสด้าเข้ามาดำเนินงานด้านการตลาดเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา สามารถทำยอดการจำหน่ายเติบโตสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดตัวรถยนต์ Mazda3 เมื่อปลายปี 2547 และการเปิดตัวรถสปอร์ตปิคอัพ Mazda BT-50 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายของมาสด้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วง 5 แรกเดือนของปี 2550 (มกราคม-พฤษภาคม) มาสด้ามียอดการจำหน่ายรถยนต์รวมทั้งสิ้น 6,655 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 13 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการเปิดตัวรถยนต์ New Mazda3 ในครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่งของมาสด้า ซึ่งคาดว่าจะทำให้มาสด้ามียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด และกลับมาครองใจผู้บริโภคอีกครั้ง ภายในสิ้นปีนี้คาดว่ามาสด้าจะมียอดการจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 16,500 คัน ตามความคาดหมาย” มร. บรูโน่ กล่าวเพิ่มเติม
ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้า New Mazda3 ยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้า ที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจ สมรรถนะเป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย อบอุ่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมรับข้อเสนอและเงื่อนไขสุดพิเศษจากมาสด้า เงินดาวน์ต่ำเริ่มต้นที่ 15 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยต่ำสุด 2.99 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนชำระนานที่สุด 60 เดือน พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่งฟรี 1 ปี พร้อมรับสิทธิพิเศษบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง หรือ "24 Hrs Mazda Roadside Assistance" นาน 3 ปี สร้างความอุ่นใจตลอดทุกการเดินทาง ทั้งนี้รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นยังให้การรับประกันคุณภาพนานถึง 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

******************************************************************

รถยนต์นั่งสปอร์ต New Mazda3

รถยนต์นั่งสปอร์ต New Mazda3 เป็นรถที่ได้รับการออกแบบเหนือความคาดหมาย ทั้งในด้านของสมรรถนะและเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ต โดยเน้นย้ำความเป็นมาสด้า ผู้นำของยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ต ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำอนาคต การันตรีด้วยรางวัล European Car of the Year ในปี 2004 และได้รับรางวัลต่างๆ มากมายมาแล้วทั่วโลกกว่า 81 รางวัล จากสื่อมวลชนและนิตยสารด้านยานยนต์ทั่วโลก New Mazda3 สะท้อนความเป็น DNA ของมาสด้าได้อย่างดียิ่ง ด้วยพลังแห่งการขับขี่ที่สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ แบบ Zoom-Zoom เมื่อเราเริ่มพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่นี้ เราได้ตระหนักถึงภาระที่สำคัญของงานที่ต้องเผชิญ เรามีจุดมุ่งหมายที่ง่ายมากคือ การทำให้รถยนต์มาสด้าดีขึ้นในทุกๆด้าน เริ่มจากสไตล์ในการออกแบบรวมถึงสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ และให้ความสะดวกสบายที่มาพร้อมความปลอดภัย เพื่อมุ่งเน้นให้ New Mazda3 เป็นที่สุดของรถยนต์ในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง ผมมั่นใจว่าการพัฒนาที่เรามุ่งมั่นนั้น จะนำมาซึ่งความพึงพอใจอันยิ่งใหญ่กับลูกค้าทั้งหมดของพวกเราและ New Mazda3 จะยังคงเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองความมีไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากที่สุด
New Mazda3 สนุกไปกับเส้นทางแห่งชัยชนะในแบบคุณ
หากคุณมีไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างแบบแตกต่าง และคุ้มค่า ทุกเส้นทางล้วนมีความหมายมากกว่าการเดินทางทั่วไป New Mazda3 คือยนตรกรรมสปอร์ตที่ตอบสนองคุณได้มากกว่ายานยนต์ใดๆ
รูปลักภายนอกโฉบเฉี่ยว นี่แหละความรู้สึก Zoom-Zoom
New Mazda3 ใหม่ ถูกออกแบบและปรับปรุงอย่างเหนือความคาดหมาย จุดเด่นในการออกแบบที่สัมผัสได้ถึงสมรรถนะที่เหนือกว่า

ความประณีต และการผสานเป็นหนึ่งเดียว
• กระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตสุดเร้าใจ
• ดีไซน์เหนือระดับ ด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ หนึ่งเดียวในคลาส
• ไฟท้าย หลอดแบบ LED ให้ความสปอร์ตสุดเท่
• ไฟตัดหมอกแบบ Angular Fog Lamps
• ล้อแม็กอัลลอยด์ลายใหม่ 17 นิ้ว สปอร์ตเต็มอารมณ์ พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ

ภายในสปอร์ตเร้าใจ
การออกแบบรูปลักษณ์ภายในอย่างมีเอกลักษณ์ ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่น คุณภาพกับดีไซน์ที่คุณรู้สึกได้ทันที นี่แหละคือรถสปอร์ตที่ตรงกับสไตล์คุณมากที่สุด เมื่อสัมผัสภายในห้องโดยสารของ New Mazda3 กับความพิถีพิถันการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง ให้ความรู้สึกสปอร์ตและหรูหรา
• เครื่องเสียงคุณภาพเยี่ยมออกแบบสวยงาม เครื่องเล่น CD/MP3 6 แผ่น พร้อมลำโพง 6 ตัวรอบทิศทาง ออฟชั่นทันสมัย สำหรับคนมีสไตล์
• ระบบแอร์อัตโนมัติ ขับสบายอารมณ์เย็นทุกเส้นทาง
• ความลงตัวของดีไซน์กับคุณภาพ ด้วยห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย
• มาตรวัดสีขาวสปอร์ตทรงกลมแบบ Black Out เรืองแสง เพิ่มความสปอร์ตเร้าใจในการขับขี่

เครื่องยนต์
เมื่อพลังอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ สิ่งที่ถูกปลดปล่อยคือความสนุก เร้าใจ แบบดจำกัด กับเครื่องยนต์ MZR 2,000 cc. ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ฟ DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 108 กิโลวัตต์ หรือ 147 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 182 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ MZR 1,600 cc. ให้กำลังสูงสุด 77 กิโลวัตต์ หรือ 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 145 นิวตัน-มตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) ตอบสนองการขับขี่ทุกช่วงความเร็ว ที่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Activematic ที่สั่งได้ดังใจ
อุปกรณ์มาตรฐาน
ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนทันสมัย ให้คุณสนุกได้ทุกวันเติมสีสันใหม่ให้ชีวิต ให้คุณขับขี่อย่างมั่นใจ เพราะทุกรายละเอียดได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด
• ระบบเบรก ABS/EBD
• เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ
• แป้นเบรกออกแบบพิเศษสามารถยุบตัวเมื่อเกิดการชนด้านหน้า พร้อมการยุบตัวของพวงมาลัยอัตโนมัติ
• ระบบช่วงล่างอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัท โช๊คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ด้านหลัง มัลติลิงค์ โช๊คอัพ คอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ให้การยึดเกาะถนนเหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน
• ถุงลมนิรภัยพร้อมม่านนิรภัยแบบ 8 จุด ปกป้องสูงสุด
• โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ Triple H ปกป้องห้องโดยสารรอบทิศทาง
• ระบบควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย ให้คุณสนุกกับเสียงเพลงได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยยิ่งขึ้น
• ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
• กุญแจรีโมทแบบพับได้ พร้อม Immobilizer
• เบาะหลังสามารถพับได้ 60/40 เพิ่มพื้นที่การใช้งานเต็มรูปแบบ
• หลังคาซันรูฟไฟฟ้า สีสันแห่งการขับขี่ที่เหนือระดับสำหรับคนมีสไตล์เช่นคุณ