26 มิ.ย. 2550
แรกสัมผัส เชฟโรเลต แคปติวา...รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองไทย
เชฟโรเลต แคปติวา
สมดุลของการขับขี่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต
****************************************************
หมายเหตุ. ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเพียว ๆ จาก จีเอ็ม
****************************************************
รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองไทย เชฟโรเลต แคปติวา ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเผยโฉมครั้งแรกในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยความลงตัวของการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองได้ทั้งลักษณะการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เพื่อการท่องเที่ยว หรือใช้เป็นรถครอบครัว ซึ่งแคปติวามีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละรูปแบบการใช้ชีวิต
โดยมีให้เลือกใช้งานทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์เจอร์
แบบแปรผัน ในระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
และระบบขับเคลี่อน 4 ล้อ แบบ AWD (All Wheel Drive)
เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงสามารถตอบสนองการใช้งานที่สะดวกสบายเหมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังแฝงการขับขี่แบบสปอร์ต คล่องตัว ทำให้สามารถใช้งานได้ดีทั้งในเมือง การวิ่งทางไกล หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่สมบุกสมบันมากขึ้น ซึ่งแคปติวาได้ผ่านการทดสอบใช้งานบนเส้นทางในสภาพต่าง ๆ
ทั่วโลกมาแล้วกว่า 5 ล้านกิโลเมตร
รูปทรงหรูหรา สปอร์ตสไตล์รถยุโรป
จากการร่วมกันออกแบบโดยศูนย์ออกแบบของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส 11 แห่งทั่วโลก คัดเลือกจากต้นแบบมากถึง 450 ตัวอย่าง ทำให้แคปติวามีความลงตัวในด้านของรูปลักษณ์ ที่มีทั้งความหรูหรา ทรงพลัง และสปอร์ต เหมือนรถ SUV ระดับพรีเมียมของยุโรป โดดเด่นด้วยกระจังหน้าและสัญลักษณ์โบว์ไทของเชฟโรเลตขนาดใหญ่ ที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายเพื่อทำให้รถดูทันสมัยตลอดเวลา โคมไฟหน้าขนาดใหญ่พร้อมหลอดไฟกลมคู่ เสริมความดุดันด้วยไฟตัดหมอกทรงกลม ชายล่างกันชนยังเสริมแคร็งกันกระแทกที่ทำให้รถดูสมบุกสมบันมากยิ่งขึ้น
ด้านข้างของรถสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงความกว้างของห้องโดยสาร จากช่วงความยาวฐานล้อจากดุมล้อหน้าถึงดุมล้อหลัง ที่มีความยาวถึง 2,707 มิลลิเมตร ซุ้มล้อขนาดใหญ่พร้อมล้ออัลลอยแบบ Multi-Spoke ที่ออกแบบมาให้เสริมความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนหลังคาโค้งรับกับส่วนหน้าของตัวรถ ทำให้มีความโค้งมนกลมกลืนตลอดตัวถัง และยังช่วยให้ลดแรงเสียดทานอากาศมากขึ้น
ส่วนด้านท้ายรถถูกออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเปิดบานกระจกบังลมหลังแยกจากประตูด้านท้ายเพื่อความสะดวกในการหยิบหรือใส่ของชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตูท้ายรถทั้งบาน พร้อมเสริมก้านปัดน้ำฝนด้านหลังเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นยามขับขี่ การออกแบบยังโดดเด่นด้วยกรอบไฟท้ายที่ซ่อนไฟถอยหลังทรงกลมสีขาดตัดกับโคมสีแดง ขณะที่ชายล่างกันชนเสริมแคร็งกันกระแทกสีอลูมิเนียมให้ดูดุดันพร้อมกับท่อไอเสียแบบท่อคู่แยก ซ้าย-ขวา ที่เน้นให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
ประกอบภายในอย่างประณีต หนักแน่น เคร่งขรึม
นอกจากความกว้างขวางภายในห้องโดยสารของแคปติวาแล้ว ทุกส่วนได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตกลมกลืน และเน้นโทนสีเทาเข้มที่ดูเคร่งขรึม ทั้งในส่วนของแผงประตูด้านใน คอนโซลหน้า และเบาะหนังคุณภาพสูงสไตล์รถยุโรป โดยใช้แถบสีอลูมิเนียมในการตกแต่งส่วนต่าง ๆ อย่างทันสมัยลงตัวทั้งในส่วนของก้านจับเปิดประตู แผงคอนโซลกลาง และพวงมาลัย พร้อมติดตั้งเครื่องเสียงแบบ Built-in ที่มีคุณภาพสูง รองรับการเล่น วิทยุ CD และ MP3 ได้ 6 แผ่นใส่จากด้านหน้า พร้อมติดตั้งปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียงบนพวงมาลัย Multi-function เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการขับขี่
ด้านบนของแผงคอนโซลกลางยังมีจอแสดงผลข้อมูลของการขับขี่ DIC (Driver Information Center) ที่จะแสดงข้อมูลของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่รถสามารถวิ่งต่อไปได้เมื่อคำนวณจากความเร็วและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือในถัง พร้อมบอกอุณหภูมิภายนอกรถ ข้อมูลการทำงานของระบบปรับอากาศ และเข็มทิศ ที่เรือนไมล์ออกแบบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดความเร็ว เป็นทรงกลมล้อมกรอบอลูมิเนียมในสไตล์ของเชฟโรเลต พร้อมสัญญาณไฟเตือนต่าง ๆ ที่ชัดเจนสะดุดตา ช่องเก็บของที่คอนโซลฝั่งคนนั่งด้านหน้ายังมีช่องเก็บความเย็นสำหรับเก็บเครื่องดื่มให้เย็นฉ่ำตลอดการเดินทาง จากการออกแบบช่องเก็บของให้มีช่องรับลมเย็นจากท่อส่งแอร์ทำให้สามารถเก็บความเย็นให้เครื่องดื่มได้
ที่แท่นเกียร์ออกแบบให้ทันสมัยด้วยสีอลูมิเนียมเช่นกัน พร้อมเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทิปทรอนิค (Tiptronic) ที่เข้ามาเพิ่มทางเลือกในการขับขี่ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นเสมือนขับรถเกียร์ธรรมดา
แม้ว่าภายในของแคปติวาถูกออกแบบให้กว้างขวางและมีถึง 7 ที่นั่ง แต่สามารถเดินทางได้อย่างสบายจากการติดตั้งพัดลมแอร์ที่ข้างเบาะนั่งแถวที่ 3 ทำให้ได้รับความเย็นทั่วทั้งห้องโดยสาร และถ้าต้องการพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการพับเบาะนั่งแถวที่ 3 ให้ราบลงไปเหมือนเป็นพื้นรถ ก็จะทำให้มีปริมาตรในการขนสัมภาระที่ 465 ลิตร และถ้าหากต้องการเพิ่มเนื้อที่ให้มากขึ้นอีก ก็ยังสามารถพับเบาะแถวที่ 2 ลง ซึ่งจะทำให้มีเนื้อที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากถึง 930 ลิตร
ตอบสนองทุกความสะดวกเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงแต่ได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัวทุกสัดส่วน แต่ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับผู้โดยสารและเสริมความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบวัดปริมาณน้ำฝนด้วย Rain Sensor ที่ช่วยปรับความเร็วในการปัดน้ำฝนตามปริมาณเม็ดฝนที่กระทบบนกระจกบังลมหน้า
ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ที่จะทำงานทันทีเมื่อมีความเข้มของแสงอาทิตย์น้อยลง ไม่ว่าจะเป็น การขับรถลอดอุโมงค์ ขับขี่ในอาคารที่จอดรถ หรือยามค่ำคืน และไฟจะดับลงโดยอัตโนมัติเช่นกันเมื่อมีความเข้มของแสงมากขึ้น และขณะขับขี่ในเวลากลางคืนเมื่อท่านดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก เพียงสักครู่ไฟหน้าก็จะปิดโดยอัตโนมัติเช่นกัน และเมื่อกดรีโมทปลดล็อกประตูเพื่อจะขับรถต่อไปไฟหน้าก็จะติดให้โดยอัตโนมัติอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีระบบขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ (Cruise Control) ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ทางไกล หรือขับขี่ในพื้นที่ที่มีการจำกัดความเร็ว พร้อมยังมีระบบตัดไฟเลี้ยวอัตโนมัติที่ช่วยป้องกันการลืมเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ขณะขับขี่ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในขณะเปลี่ยนเลน ขณะขับแซงรถคันหน้า โดยการสัมผัสโยกก้านไฟเลี้ยวเพียงเบา ๆ ไฟเลี้ยวจะกระพริบเพียงแค่ 3 จังหวะและดับไปเองโดยอัตโนมัติ แต่หากต้องการเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ก็ใช้การโยกก้านไฟเลี้ยวแบบปกติทั่วไป
จุดเด่นของ แคปติวา ที่เหนือกว่ารถ SUV รุ่นอื่นใด คือ มีระบบ Self-Levelizer ที่ช่วยปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกขึ้นเป็นระนาบเดียวกันกับด้านหน้าด้วยกลไกอัตโนมัติ เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระหนักที่ด้านท้ายรถ ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ เพราะระบบ Self-Levelizer จะปรับสมดุลให้ช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังอยู่ในแนวขนานกับพื้นถนนเท่ากัน ไม่ทำให้ด้านหน้ารถเชิดขึ้น สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย มีทัศวิสัยที่ดีตลอดการขับขี่
ให้สมรรถนะสูงทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล
จากการออกแบบให้แคปติวา สามารถตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้เป็นรถครอบครัว หรือขับขี่ท่องเที่ยวสมบุกสมบันมากขึ้น ทำให้แคปติวามีสมรรถนะการขับขี่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สมดุลกับความต้องการใช้งาน
เชฟโรเลต แคปติวา รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ปริมาตรกระบอกสูบ 2,405 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 2,200 รอบ/นาที
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร ฝาสูบเดี่ยว SOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศ เทอร์โบ ชาร์เจอร์ แบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำ 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด Tiptronic ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้ขับขึ่สามารถใช้งานได้สะดวกสบายเมื่อขับในระบบอัตโนมัติ และหากต้องการความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นก็สามารถใช้เกียร์ Tiptronic เพื่อให้การขับขี่ด้วยเกียร์อัตโนมัติเสมือนเกียร์ธรรมดา
ขณะเดียวกันระบบเกียร์ของแคปติวา ยังมีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล ไม่มีอาการกระตุก และตอบสนองได้รวดเร็วแม้จะเป็นการขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ด้วยการตอบสนองจังหวะ Kick-down ที่รวดเร็ว และให้ระยะเร่งรอบเครื่องสูงนานมากพอที่จะให้ความปลอดภัยขณะเร่งแซง หรือต้องการทำความเร็ว
นอกจากการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ดีเยี่ยมแล้ว แคปติวายังคงเอกลักษณ์โดดเด่นของเชฟโรเลต ด้วยระบบช่วงล่างที่มีความนุ่มนวล เกาะถนนเป็นเยี่ยมในระดับรถพรีเมียม ของยุโรป จากการติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ McPherson Struts และด้านหน้าแบบ 4-Link
ความประหยัดและปลอดภัยด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand
รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทั่วไป หรือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time นั้นมักจะสร้างปัญหาในเรื่องอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand ในเชฟโรเลต แคปติวา จะช่วยให้มีความประหยัด เนื่องจากในสภาพการขับขี่บนถนนปกติ ระบบขับเคลื่อนจะถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้าแบบ 100% ในอัตราส่วน 100:0 เหมือนกับรถขับเคลื่อนล้อหน้าทั่วไป ซึ่งการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อสภาพของถนนเปลี่ยนไป เช่น สภาพถนนเปียกลื่น เมื่อระบบจับได้ว่าล้อขับเคลื่อนคู่หน้ามีอาการลื่นไถล หรือหมุนฟรี ระบบจะสั่งจับเฟืองท้ายล็อกเพลาหลังเพื่อถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หลังเพื่อดันให้ล้อหน้าหลุดจากอาการลื่นไถล หรือล้อหมุนฟรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และควบคุมรถได้อย่างมั่นคง โดยระบบจะถ่ายทอดกำลังแรงบิดไปยังล้อหน้าและล้อหลังในอัตราส่วนต่าง ๆ ตามสภาพของถนนว่ามีความลื่นมากแค่ไหน จากการอ่านค่าของตัวเซ็นเซอร์ที่จับความเร็วของล้อที่หมุนฟรี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในอัตราส่วน 50:50 อัตราส่วน 60:40 หรือ 70:30 นั่นจึงทำให้ เชฟโรเลต แคปติวา มีความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า และมีความคล่องตัว ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ตลอดเวลา
เสริมสมดุลให้กับชีวิตการขับขี่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต
ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ของแคปติวา ยังเพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบให้กับการใช้งานรถ SUV ที่เหนือชั้นกว่ารถยนต์ในระดับราคาเดียวกันด้วย “เทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติ” (Self Balancing Integration Technology) ที่ช่วยให้ทุกชีวิตการขับขี่ดำเนินไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด
ESP (Electronic Stability Program) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว คือ ระบบที่ช่วยควบคุมทิศทางการขับขี่ ป้องกันการเกิดอาการ Oversteering หรือ Understeering จากการประเมินการเคลื่อนที่ของรถกับองศาการหมุนของพวงมาลัย ถ้าเกิดการเสียสมดุล ระบบ ESP จะเพิ่มแรงเบรก และลดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ตามทิศทางและองศาการหมุนของพวงมาลัยที่ผู้ขับขี่บังคับ
HDC (Hill Descent Control System) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบนี้ ด้วยการกดปุ่มควบคุม HDC บนคอนโซลกลาง ในจังหวะที่ลงทางชัน ซึ่งระบบจะช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ และเบรก ให้สัมพันธ์กันโดยอัตโนมัติ เพื่อจำกัดความเร็วของรถ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบแป้นเบรก หรือเลียเบรกขณะขับลงเขา หรือเนินชัน
ARP (Active Rollover Protection) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ระบบนี้จะตรวจจับแรงเหวี่ยงจากการหักหลบ หรือการเข้าโค้ง พร้อมกระจายแรงเบรกไปที่ล้อทั้ง 4 ด้วยน้ำหนักต่าง ๆ กันอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ และทำให้สามารถควบคุมรถให้กับมาสู่สภาวะปกติได้โดยง่าย (ในสภาวะการขับขี่และความเร็วที่เหมาะสม)
นอกเหนือจากความปลอดภัยจากระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่งสไตล์รถยุโรป ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand และเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดแล้ว เชฟโรเลต แคปติวา ยังมีค่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยถึงระดับ 4 ดาว จากการทดสอบการชนของ Euro NCAP (www.euroncap.com) ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยขณะขับขี่ ขณะเดียวกัน เชฟโรเลตยังมอบความมั่นใจในคุณภาพของแคปติวาสูงสุด ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมง จากบริการ Roadside Assistance และศูนย์บริการเชฟโรเลต 103 แห่งทั่วประเทศ
หากท่านได้ลองขับ เชฟโรเลต แคปติวา จะทำให้ท่านรู้สึกได้กับสมดุลของการขับขี่ ความลงตัวของ แคปติวา ที่จะให้สมดุลกับทุกรูปแบบการใช้ชีวิต
*************************************************
*************************************************
ทดลองขับ ในโรงงาน หลังจากปล่อยคันที่ 1 ออกจากสายพานการผลิต
*************************************************
ผลการทดลองขับในโรงงาน บนเส้นทางทดสอบรถใหม่ ที่เพิ่งออกจากสายพานการผลิต เมื่อบ่ายวันที่ 21 มิถุนายน 2550 เป็นเหมือนการทักทาย เพื่อรอเวลาการทดสอบระยะทางไกลแบบเดี่ยว ๆ ซึ่งทาง จีเอ็ม ได้เตรียมรถ ไว้ 10 คัน เพื่อให้สื่อมวลชนสายรถยนต์ โดยเฉพาะผู้เขียนคอลัมน์ทดสอบรถทั้งหลายได้ยืมมาลองขับเป็นพัน ๆ กิโลเมตร เพื่อรายงานประสิทธิภาพระบบใหม่ ๆ โดยเฉพาะระบบช่วยการทรงตัว ซึ่งมีในรถ CAPTIVA เป็นระบบที่ทำงานด้วยกลไก และบางอย่างควบคุมด้วยอีเล็คทรอนิก ก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป ว่าจะเยี่ยมยอดอย่างท่รถราคาหลาย ๆ ล้านมีหรือไม่
ในการทดสอบสั้น ๆ ในสนามทางทดสอบที่โรงงานระยอง นอกจากรุ่น ขับเคลื่อน แบบออลวีลไดร๊ฟ์ ที่สื่อเกือบทุกคนที่ไปได้ลองกันแล้ว ผมเองโชคดีที่เป็นหนึ่งเดียวได้ลองรุ่นขับ 2 เฉพาะล้อหน้า เพื่อพยามยามข้ามสิ่งทางที่เป็นโรลเล่อร์เฉพาะล้อหน้าขวา ซึ่งรถจะไม่สามารถไปต่อได้
หากเป็นรุ้นขับ 4 แบบออลไทม์ ระบบจะถ่ายเทแรงขับสู่ล้อหลังตามสภาพเส้นทาง อาจจะเป็น 50/50 หรือ 60/40 ก็ได้ ซึ่งทุกคันสามารถผ่าทุกเส้นทาง และสิ่งกีดขวางไปได้อย่างง่ายดาย
******************************************************************
รายละเอียดเพิ่มเติมเชิญที่ http://www.chevroletthailand.com/captiva/
******************************************************************
วันที่ 6-9 ก.ค.2550 ผมถึงคิวรับรถ แคปติวา ออลวีลไดร๊ฟ์ 2.4 ลิตร มาทดสอบ
หลังจากวันนั้นก็จะรีบรายงานครับ