1 พ.ค. 2551

The new-generation SLK 200 KOMPRESSOR








The new-generation
BENZ SLK 200 KOMPRESSOR


SLK-Class สปอร์ตโรดสเตอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์จับจองพื้นที่อยู่ในหัวใจของผู้คลั่งไคล้รถยนต์แบบสปอร์ตมาเป็นเวลาช้านานแล้ว สำหรับ SLK เจนเนอเรชั่นนี้มีชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่กว่า 650 ชิ้นเพื่อให้มีสมรรถนะมากขึ้น นำมาซึ่งประสบการณ์ในการขับขี่ที่เร้าใจมากยิ่งขึ้น ส่วนสำคัญที่ได้รับการออกแบบพัฒนาขึ้นใหม่ที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกได้แก่จมูกด้านหน้าใหม่และทางด้านหลังของตัวรถ ขณะที่ภายในห้องโดยสารได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อนพิถีพิถันด้วยชุดแผงหน้าปัดใหม่และพวงมาลัยแบบสปอร์ต 3 ก้านดีไซน์

เครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้ความประหยัดมากขึ้นในด้านของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซน์ลดลงด้วยเช่นกันในขณะที่แรงม้ากลับมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน
SLK-Class เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1996 ในรูปแบบของสปอร์ตโรดสเตอร์ขนาดคอมแพคท์ที่ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในด้านยานยนต์ที่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะและความปราดเปรียว จึงเป็นที่นิยมและมักพบเห็นเป็นที่คุ้นตาบนท้องถนนทั่วไปในเยอรมนี รถยนต์แบบโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งเจนเนอเรชั่นที่สองได้รับการยกระดับด้วยอุปกรณ์และการพัฒนาปรับปรุงอย่างมาก เพื่อเน้นให้เห็นถึงบุคลิคแบบสปอร์ตที่ชัดเจนมากขึ้นและสืบสานความสำเร็จของ SLK-Class โดยที่ SLK-Class เจนเนอเรชั่นแรกที่ออกจำหน่ายระหว่างปี 1996 จนถึงปี 2004 มียอดจำหน่ายถึง 310,000 คันและในจำนวนลูกค้า 185,000 คน ประมาณ 60,000 คนเฉพาะลูกค้าในประเทศเยอรมนีได้สั่งซื้อเป็นเจ้าของ SLK-Class เจนเนอเรชั่นที่สองตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2004 (ตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2007) ซึ่งนั่นหมายความว่ายอดจำหน่ายของ SLK-Class มีถึงครึ่งล้านคันแล้ว ณ เวลานี้
SLK-Class เจนเนอเรชั่นใหม่มีไฮไลท์สำคัญที่ความสวยงามของรูปลักษณ์แบบสปอร์ตใหม่ และความเป็นโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งที่ทันสมัยด้วยหลังคาแบบ vario-roof ที่เปลี่ยนภาพของรถยนต์แบบโรดสเตอร์ให้เป็นสปอร์ตคูเป้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ภายนอก : โดดเด่นโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้วยการออกแบบในลักษณะ V-shape ที่ด้านหน้าและด้านหลังเพิ่ม diffuser
ทีมออกแบบได้เพิ่มเติมบุคลิคให้มีความเป็นสปอร์ตคาร์มากขึ้น ความโดดเด่นสะดุดตาที่มองเห็นได้ประกอบด้วยกันชนหน้าแบบใหม่ที่ทำการปรับปรุงตำแหน่งของช่องดักอากาศใหม่ให้มีลักษณะ V-shape มากขึ้น พร้อมทั้งปรับพื้นที่รอบโลโก้ดาวสามแฉกที่ออกแบบใหม่ให้ยื่นออกมาให้เด่นชัดมากขึ้น นอกจากนี้ทีมออกแบบยังได้ออกแบบส่วนของด้านท้ายรถใหม่ให้ตัวถังด้านล่างมีช่องระบายลมและจัดเรียงอากาศโดยใช้ diffuser ทำให้ด้านหลังของ SLK-Class ใหม่สื่อออกถึงพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อมองจากทางด้านหลัง นอกจากนี้ยังเสริมให้เห็นถึงสมรรถนะที่ทรงพลังของ SLK-Class ด้วยปลายท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมู กระจกมองข้างออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมติดตั้งไฟแบบ LED ขณะที่ล้ออัลลอยน้ำหนักเบารุ่นใหม่ให้มุมมองทางด้านข้างที่ประทับใจมากยิ่งขึ้น
ห้องผู้ขับขี่คุณภาพสูง พวงมาลัยแบบสปอร์ต 3 ก้านรุ่นใหม่
รายละเอียดการตกแต่งภายในมากมายถูกออกแบบใหม่พร้อมทั้งอัพเกรดกระบวนการสรรหาวัตถุดิบที่จะนำมาใช้อย่างรอบคอบพิถีพิถัน โดยที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการตกแต่งภายในที่ปรับตัวเข้ากับผู้ขับขี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม จุดรวมความสนใจอยู่ที่พวงมาลัยแบบมัลติฟังค์ชั่นลาย 3 ก้านแบบใหม่และชุดแผงหน้าปัดใหม่ที่ให้ความประทับใจมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนัง “gullwing red” ที่ทำให้ระลึกถึงการตกแต่งภายในของคลาสสิคคาร์ 300 SL gullwing นอกจากนี้ยังมีหนังให้เลือกเพิ่มเติมซึ่งเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ คือหนัง nappa ในโทนสี natural beige ซึ่งกลมกลืนเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับลายไม้แบบใหม่ pale burr walnut และ black ash grain
ระบบเสียงยกระดับด้วยระบบ telematics
เป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ติดตั้งระบบเสียงแบบ NTG 2.5 ใน SLK-Class เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งระบบนี้ง่ายต่อการทำงานเพราะมีฟังค์ชั่นการทำงานมากมาย และสั่งการได้ง่ายดายกับวิทยุและสามารถทำงานด้วย bluetooth อีกทั้งยังสามารถทำงานคู่กับ iPod โดยเชื่อมกับ media interface ซึ่งเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ
เครื่องยนต์สปอร์ต : ให้กำลังแรงม้าที่สูงกว่าขณะที่มีการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ
หลักประกันถึงความเป็นสปอร์ตเต็มพิกัดใน SLK เจนเนอเรชั่นใหม่โมเดลปี 2008 เห็นได้จากการเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซน์น้อย เครื่องยนต์ 4 สูบใน SLK 200 KOMPRESSOR ที่สร้างความประทับใจมาแล้วในด้านของสมรรถนะและยังคงเป็นจุดขายที่สำคัญของ SLK-Class
เครื่องยนต์ 4 สูบซูเปอร์ชาร์จที่ได้รับการพัฒนาให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นอีก 21 แรงม้าเป็น 184 แรงม้าขณะที่แรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 240 นิวตันเมตรเป็น 250 นิวตันเมตร ในความเร็วรอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,800 และ 5,000 รอบต่อนาที SLK 200 KOMPRESSOR สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 232 กม./ชม. ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 1.0 ลิตรเป็น 8.0 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตรขณะที่ค่าไอเสียลดลงเป็น 190 กรัมต่อกิโลเมตร

ระบบ direct-steer ใหม่เพิ่มความคล่องแคล่วปราดเปรียวและขับสนุกขึ้น
เมื่อขับขี่ไปบนสภาพเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาและให้ความสะดวกสบายในการนำรถเข้าจอดรวมไปถึงให้ความเที่ยงตรงแม่นยำในขณะที่ใช้ความเร็วสูงระบบ direct-steer มีการทำงานบนพื้นฐานของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบปรับน้ำหนักตามอัตราความเร็วรถและทำงานด้วยระบบกลไกซึ่งไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนหรือใช้ตัวเซนเซอร์แต่อย่างใด หัวใจสำคัญของระบบนี้ได้แก่การใช้แรคพวงมาลัยแบบใหม่และการทำงานของระบบเกียร์ที่คล่องแคล่วว่องไวซึ่งมั่นใจได้ว่าเฟืองบังคับเลี้ยวจะเปลี่ยนแปลงไปตามองศาการหมุนของพวงมาลัยอย่างแม่นยำ อัตราทดของเกียร์จะไม่คงที่อยู่ตลอดเวลาแต่จะผันแปรไปรอบ ๆ ตำแหน่งศูนย์กลางของแกนพวงมาลัยเพื่อให้เสถียรภาพการทรงตัวเป็นไปอย่างดีเยี่ยมตลอดเวลา ให้ความมั่นใจในการทำงานของระบบบังคับเลี้ยวเมื่อใช้ความเร็วสูง เมื่อองศาการหมุนของพวงมาลัยเกินกว่าตำแหน่ง 5 องศาอัตราทดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วให้ความรู้สึกที่เที่ยงแม่นยำมากยิ่งขึ้น วงรอบการหมุนของพวงมาลัยจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งลดลงประมาณ 25% ซึ่งหมายถึงว่าแม้ในสภาพเส้นทางการจราจรที่ติดขัดภายในเมืองผู้ขับขี่เออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการหมุนพวงมาลัยนำพา SLK ใหม่เข้าสู่เส้นทางที่ต้องการเช่นเดียวกับการขับขี่ SLK ใหม่บนเส้นทางที่คดเคี้ยวโค้งไปมา
SLK ก้าวล้ำนำหน้าเสมอ
ในฐานะที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี่และความทันสมัย SLK-Class ให้ภาพลักษณ์ของความทันสมัยอยู่ตลอดเวลาถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านไปคุณภาพและคุณลักษณ์ที่โดดเด่นยังคงมีคุณค่าอยู่ใน SLK-Class เสมอ ตัวอย่างเช่นหลังคาแบบ vario-roof ที่แปรเปลี่ยนรถยนต์สปอร์ตโรดสเตอร์ให้กลายเป็นสปอร์ตคูเป้ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดทุกสายตาได้ภายในเวลาเพียง 22 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีชุดอุปกรณ์มาตรฐานที่ประกอบด้วยถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่งปกป้องบริเวณไหล่ถึงศีรษะ, ถุงลมนิรภัยด้านหน้าแบบแอคทีฟและเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ 2 จังหวะ