10 มิ.ย. 2550

อีซูซุจัดคาราวานสัญจรปี 2550 ไทย-ลาว-เวียดนาม







อีซูซุจัดคาราวานสัญจรปี 2550 เส้นทางแรกระหว่างประเทศ ไทย-ลาว-เวียดนาม
ตรีเพชรอีซูซุนำกลุ่มลูกค้าผู้ใช้รถอีซูซุทั่วประเทศร่วมเดินทางท่องเที่ยวทางรถยนต์ใน “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” ประจำปี 2550 ประเดิมเส้นทางแรก “ไทย-ลาว-เวียดนาม” ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งใหม่ ที่จ.มุกดาหาร สู่ประเทศลาว และเมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนาม ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นด้วยมิตรภาพของวิถีอีซูซุ
คุณบุญสม พิรินทร์ยวง ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วย คุณกิตติกา ลิขิตวศินกุล ผอ.ททท.สนง.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต 4 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, มร. เอส. วากาบายาชิ รองกรรมการผู้จัดการ และ คุณปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีตีธงปล่อยขบวนคาราวาน “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” ณ โชว์รูมอีซูซุตังปักอำนาจเจริญ สาขามุกดาหาร
คาราวานรถอีซูซุกว่า 50 คัน รวมสมาชิกกว่า 200 ชีวิต ออกเดินทางจากโชว์รูมอีซูซุตังปักอำนาจเจริญ สาขามุกดาหาร ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สู่ด่านสะหวันเขต ชายแดน ส.ป.ป.ลาว โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 9 พร้อมทั้งปรับวิธีการขับใหม่ด้วยการชิดขวาทันทีตามกฎหมายของประเทศลาว มุ่งสู่เมืองพิน แวะรับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารแฟนต้า และถือโอกาสแลกเงินด่องเวียดนามไว้เลยด้วยอัตรา 100 บาท เท่ากับ 44,000 ด่อง จากนั้นขบวนคาราวานก็เคลื่อนสู่ด่านบ้านแดนสวรรค์ ประเทศลาว เพื่อทำเรื่องผ่านแดนสู่ด่านลาวบาว ประเทศเวียดนาม ขบวนคาราวานเคลื่อนออกจากด่านลาวบาว ผ่านเมืองดงฮา เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองเว้ เข้าสู่ที่พัก ณ โรงแรมเฮืองยาง ริมแม่น้ำหอม หลังจากนั้นจึงเข้าสู่งานเลี้ยงต้อนรับเหล่าสมาชิกครอบครัวอีซูซุพร้อมได้รับเกียรตินักร้องสาวชาวเวียดนามการันตีด้วยรางวัลแชมป์อคาเดมี่ แฟนตาเซียแห่งเวียดนามชื่อ “มินทือ” ฉายา “ทาทา ยัง แห่งเวียดนาม” มาร่วมร้องเพลง สร้างความสนุกสนานครื้นเครงเป็นอย่างยิ่ง และหลังจากอิ่มหนำสำราญรับรางวัลกันไปมากมายแล้ว คณะคาราวานทั้งหมดได้ร่วมกันลอยกระทงกระดาษตามประเพณีของชาวเวียดนาม ณ ลำน้ำหอมอีกด้วย


เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง คณะคาราวานต่างตื่นเช้ารับอรุณใหม่ ณ ประเทศเวียดนาม และเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อล่องลำน้ำหอม ด้วยเรือหัวมังกร สีสันสะดุดตา สัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเว้เพื่อชมวิถีชีวิตริมแม่น้ำที่ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ แหล่งพันธุ์ปลา และสัตว์น้ำอันอุดมสมบูรณ์ สู่วัดเจดีย์เทียนมู่ หรือวัดเทพธิดาราม แวะชมเจดีย์สูง 7 ชั้นที่สวยงาม และเก่าแก่ของวัด ที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเวียดนาม แต่ละชั้นของเจดีย์จะมีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ ส่วนด้านข้างจะมีระฆังทองแดงยักษ์หนักกว่า 2 ตันตั้งอยู่ ส่วนอีกข้างจะมีแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่บนหลังเต่าหินที่มีขนาดใหญ่ และรอบๆ จะมีตุ๊กตาหินแกะสลักอยู่ด้วย ที่สำคัญวัดนี้มีรถออสตินหมายเลข DBA 559 คันประวัติศาสตร์ที่อดีตเจ้าอาวาสนาม ทิด กว๋าง ดิ๊ก (Tich Quang Duc) ขับไปประท้วงประธานาธิบดีโง ดิน เดียมห์ ที่บังคับให้ชาวบ้านนับถือศาสนาคริสต์ แทนศาสนาเดิม โดยท่านได้เดินทางไปประท้วงที่เมืองไซง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน โดยได้จุดเผาตนเองเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ปรากฏว่าร่างกายของท่านเผาไหม้หมด ยกเว้นหัวใจที่ไม่ไหม้ และท้ายสุดประธานาธิบดีโง ดิน เดียมห์ ต้องยอมแพ้ เลิกบังคับชาวบ้าน ศิษย์ท่านได้นำศพ และหัวใจของท่านกลับมาใส่ในสถูปทองคำ ตั้งอยู่ด้านหลังวัดแห่งนี้ พร้อมทั้งเก็บรถประวัติศาสตร์คันดังกล่าวไว้ให้คนที่ไปเยี่ยมชมวัดได้เห็นถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของอดีตเจ้าอาวาสท่านนี้
หลังจากนั้นสมาชิกคาราวานอีซูซุ ก็ออกเดินทางต่อเพื่อเยี่ยมชมพระราชวังเว้ หรือพระราชวังต้องห้าม (Imperial Palace) ที่อยู่กลางใจเมือง ที่พระราชวังแห่งนี้ กล่าวกันว่าเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิถึง 13 พระองค์ พระราชวังดังกล่าวหากใครเคยไปพระราชวังต้องห้ามของจีนที่ปักกิ่ง ก็จะนึกภาพออก เพราะมีลักษณะคล้ายๆ กัน ภายในจะมีกำแพงถึง 3 ชั้น เมื่อผ่านกำแพงชั้นที่สองเข้าไป เราจะเห็นปืนใหญ่ตั้งอยู่สองฝั่งทางเข้า ฝั่งหนึ่งมี 4 กระบอกแทน 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมี 5 กระบอกแทนธาตุทั้ง 5 ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และ โลหะ
ส่วนภายในพระราชฐานจะแบ่งออกเป็นท้องพระโรง พระตำหนักฝ่ายหน้า และพระตำหนักฝ่ายใน อันเป็นที่พระมเหสีและพระสนมอยู่ ซึ่งว่ากันว่ามีพระสนมอยู่ถึง 500 กว่าองค์ ดังนั้น พระราชวังดังกล่าวจึงมีเนื้อที่กว้างขวางมาก โดยดูได้จากผังเดิมที่แสดงไว้ แต่ปัจจุบันอาคารต่างๆ ทรุดโทรมไปมาก และเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเป็นส่วนใหญ่

จากพระราชวังต้องห้าม คณะคาราวานเดินทางต่อไปยัง สุสานไค่ดิงห์ ซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่มีภูมิทัศน์ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย และมีสถาปัตยกรรมผสมผสานอันสวยงามระหว่างตะวันออกและตะวันตก สุสานไค่ดิงห์ เป็นสุสานของจักรพรรดิไค่ดิงห์ จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของเวียดนาม
จากนั้นสมาชิกอีซูซุก็เคลื่อนขบวนเดินทางออกจากเมืองเว้ไปยัง เมืองฮอยอัน เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม อีกแห่งหนึ่ง ผ่านเมืองดานัง สู่เมืองฮอยอัน โดยใช้เส้นทางลอดผ่านอุโมงค์ที่ชื่อว่า ฮายวัน (Hai Van Tunnel) ซึ่งแปลได้ว่า ทะเลเมฆ ที่มีความยาวถึง 6,274 เมตร หรือ 6 กิโลเมตรเศษ ทำให้ย่นระยะทางไม่ต้องขับรถอ้อมเขาไปได้ถึง 22 กิโลเมตร แต่รถบรรทุกสัตว์และมอเตอร์ไซด์เขาห้ามเข้า ภายในอุโมงค์ค่อนข้างกว้างขวาง และหากมีเหตุฉุกเฉิน เขาก็มีทางออกไปอุโมงค์สำรองอีกด้านด้วย อุโมงค์แห่งนี้ใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 5 ปี คือระหว่าง ค.ศ.2000 - ค.ศ.2005 ระหว่างเส้นทางต้องผ่านเขาอันคดเคี้ยว แต่บรรยากาศรอบข้างสวยงามมาก เราจะเห็นหมอกจางๆ เหนือภูเขาเป็นระยะๆ ดูแล้วช่างงดงามจริงๆ และผ่านเส้นทางเลียบทะเล หาดฮาลอง แล้วจึงเข้าสู่เมืองฮอยอันเพื่อพัก ณ โรงแรมระดับ 5 ดาวริมทะเลของเมืองฮอยอัน คือ โรงแรม SWISS-BEL GOLDEN SAND RESORT พร้อมงานเลี้ยงภาคค่ำอย่างเป็นกันเอง ก่อนแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย เพื่อเตรียมเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่ 3 ของการเดินทางคณะคาราวานอีซูซุก็ได้ท่องเที่ยวชมบรรยากาศทางวัฒนธรรมอันสวยงามของ เมืองฮอยอัน ซึ่งเป็นเมืองท่าเก่าแก่อันลือชื่อ และมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยศตวรรษที่ 16-17 โดยจะมีพ่อค้าชาวจีน ญี่ปุ่น และโปรตุเกสมาจอดเรือขนถ่าย และแลกเปลี่ยนสินค้าที่นี่ จนราวศตวรรษที่ 19 เมื่อปากแม่น้ำทูโบอันเป็นที่ตั้งเมืองแห่งนี้ เกิดตื้นเขิน ทำให้การสัญจรทางน้ำไม่สะดวก เมืองท่าดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ ปัจจุบันเมืองฮอยอันยังคงอนุรักษ์อาคารบ้านเมือง วัดวา อาราม แม่น้ำ สะพานแบบเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปสู่สมัยโบราน และทำให้เมืองนี้ได้รับสมญาว่า พิพิธภัณฑ์มีชีวิต พร้อมอิ่มเอมกับบรรยากาศและเดินซื้อของที่ระลึกมากมายตามอัธยาศัย ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ด้วยเงินบาทไทย แต่อาจจะขาดทุนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับใช้เงินด่องของเวียดนามในการซื้อสินค้า
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการจับจ่ายซื้อของฝาก และเดินชมวิถีชีวิตชาวฮอยอันกันเป็นที่เรียบร้อย ขบวนคาราวานจึงเดินทางต่อกลับไปยังเมืองเว้อีกครั้ง ด้วยเส้นทางเดิม และวันสุดท้ายของการเดินทางจากเมืองเว้ คาราวานก็ได้เคลื่อนขบวนกลับสู่ประเทศไทยโดยเส้นทางเดิมด้วยความสวัสดิภาพ
คาราวาน “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” เส้นทางแรกแห่งปี 2550 ได้เดินทางข้าม 3 ประเทศ ไทย-ลาว-เวียดนาม แม้จะเดินทางผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และฝนที่ตกหนักอยู่บ้างเป็นบางช่วง และถนนที่คับแคบ จอแจด้วยรถจักรยาน และจักรยานยนต์บ้างเมื่อผ่านเข้าเขตเมือง แต่ด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถอีซูซุทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถอีซูซุดีแมคซ์ หรือรถอีซูซุ มิว-เซเว่น ทำให้ทุกคนต่างเดินทางกลับอย่างเรียบร้อย ปลอดภัยพร้อมเก็บความประทับใจร่วมกันอย่างยากที่จะลืมเลือน
กิจกรรม “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” ประจำปี 2550 เป็นกิจกรรมที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีโดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 1 เส้นทาง และเส้นทางภายในประเทศ 3 เส้นทาง เพื่อขอบคุณลูกค้าอีซูซุที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เส้นทางแรกเริ่มด้วยเส้นทางระหว่างประเทศไทย-ลาว-เวียดนามด้วยความอบอุ่น เตรียมพบกับอีก 3 เส้นทางในประเทศ คือ เส้นทางที่ 2 ภาคใต้: สุราษฎร์ธานี - ภูเก็ต เส้นทางที่ 3 ภาคกลาง : กรุงเทพฯ - ปราจีนบุรี และเส้นทางที่ 4 ภาคเหนือ : อุตรดิตถ์ – น่าน

**************************************************************

หมายเหตุ.ข่าวจากอีซูซุ