6 ส.ค. 2550

ยูสด์คาร์น่าสน ต้อนรับ ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คุ้มครองผู้ซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2550










คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตื่นจากหลับไหล จะออกหลักเกณฑ์คุ้มครองผู้ซื้อรถยูสด์คาร์
**************************************************

คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกประกาศในเรื่องการคุ้มครองผู้ซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้วออกมา โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน เป็นต้นไปนั้น เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อรถยนต์ใช้แล้ว หรือรถยนต์มือสองจากเต็นท์จำหน่ายรถยนต์ ดังนั้น จากนี้ไปผู้ประกอบธุรกิจจะนำออกขายจะต้องจัดทำฉลากให้เห็นอย่างชัดเจน ขนาดตัวอักษรไม่ต่ำกว่า 1 เซนติเมตร ระบุรายละเอียดตามรายการที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ตั้งแต่วันจดทะเบียนจนถึงวันจำหน่าย อย่างน้อย 20 รายการ เช่น ประเภทของรถ ยี่ห้อรถ สีรถ และยี่ห้อเครื่องยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อความในฉลากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคใช้ ในการประกอบการพิจารณาเลือกซื้อ เพื่อไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ
ทั้งนี้ หลังวันที่ 8 สิงหาคมนี้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจะออกตรวจสอบ ซึ่งหากผู้ประกอบธุรกิจรถยนต์ใช้แล้วไม่จัดทำฉลากให้ถูกต้อง จะมีโทษตามกฎหมาย หรือระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

****************************************
รู้แล้วก็ลองเล็ง ๆ รถที่น่าสนไว้สักคันสองคัน

*****************************************

ยูสด์คาร์น่าสน
*****************************************
โดยสี่ล้อ
*****************************************
อนาคตต่อจากนี้ไปคนไทยต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้นจากสภาวะน้ำมันแพง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าขึ้นตามไปด้วย จะมีก็เพียงอย่างเดียวที่ยังไม่ขึ้นก็คือเงินเดือน เมื่อข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง การใช้จ่ายแต่ละครั้งก็ต้องคิดกันดี ๆ โดยเฉพาะการสร้างหนี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ อันจะส่งผลให้เราต้องจ่ายค่างวดสูงขึ้นตามดอกเบี้ย ถ้าเป็นผ่อนรถดอกเบี้ยจะคงที่ แต่คงจะหาดอกเบี้ย 0% เหมือนเมื่อก่อนได้ยากแล้ว ดังนั้นรถเก่า จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะเมื่อดูงบในกระเป๋าแล้วก็อาจจะไม่ต้องเป็นหนี้ไฟแนนซ์ก็ได้ สำหรับรถยูสด์ที่นำมาเสนอให้เป็นทางเลือกนั้น ก็คงจะต้องศึกษาข้อมูลกันดูว่ารุ่นไหนน่าสนใจกันบ้าง และพอกับงบของเงินในกระเป๋าหรือเปล่า

JEEP GRAND CHEROKEE 4.7i
ชื่อของจี๊ปยังคงขายได้ในบ้านเรา แม้ว่าค่ายนี้จะม้วนเสื่อกลับบ้านไปแล้ว แต่ก็ยังมีดีลเลอร์บางแห่งที่ยังรองรับการซ่อมบำรุงให้อยู่ ชื่อนี้โด่งดังมากเมื่ออยู่ในสังกัดสวีเดนมอเตอร์ ยุคนั้นจี๊ปขายดีมาก เป็นรถ SUV ที่ร้อนแรงที่สุดในยุค ด้วยยอดขายแซงหน้าทุก ๆ ค่าย มีทั้งเชอโรกี 4.0 ตามด้วย 2.5 ส่วนแกรนด์เชอโรกีก็มีทั้ง 4.0 กับ 4.7 และยังมีแรงเลอร์มาให้ใช้อีกต่างหาก ตลาดรถเก๋งก็จะมีนีออนเพียงรุ่นเดียว สำหรับตัวเชอโรกีนั้น มีหลายคนนำมาเปลี่ยนเครื่องใหม่ กับเครื่องยนต์ 1KZ-FE ของโตโยต้า ซึ่งก็ใช้งานได้ดี รวมไปถึงเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 2JZ ก็ใช้งานดีไม่มีปัญหา แต่ถ้ารักที่จะใช้รถเดิม ๆ ก็นี่เลย แกรนด์ เชอโรกี 4.7i ที่เลือกรุ่นนี้มาเพราะเป็นเครื่องยนต์ที่กำลังดีพอตัว ช่วงล่างเกาะถนนดี ต่างจากรุ่น 4.0 รุ่นนั้นช่วงล่างโคลงมาก โคลงเป็นเรือเลย อัตราเร่งของเครื่องยนต์ด้อยมาก ๆ ด้อยกว่าเชอโรกีรุ่นธรรมดาเยอะ และเป็นตัวประกอบในประเทศอีกต่างหาก ขณะที่ตัว 4.7i นั้นจะเป็นรุ่นประกอบนอก วางเครื่องยนต์ V-8 แทนที่จะเป็นแถวเรียง 6 สูบ แต่ยังใช้ระบบ OHC อยู่ เพื่อความทนทาน ขับด้วยสายพาน ด้วยความจุ 4701 ซีซี นั้นทำให้เครื่องยนต์ เบ่งกำลังออกมาได้ 220 แรงม้าที่ 4700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 42.2 กก.-ม.ที่ 3200 รอบ/นาที ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา เกียร์ออโต 4 สปีด เกียร์ 4 เป็นโอเวอร์ไดรฟ์ แกรนด์เชอโรกีตัวนี้ เป็นรถที่มีอัตราเร่งดี ระดับ 160-180 กม./ชม. นั้นทำได้สบาย ๆ อัตราบริโภคอาจจะสูงสักนิด แต่ก็ยังรองรับการติดแก๊ส LPG ในช่วงนี้ หรือจะติดตั้ง NGV ในอนาคตที่มีปั๊มกระจายไปทั่วประเทศแล้วก็ได้ ถ้าใช้เดินทางไกล ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ไม่มากนัก ก็อาจจะประหยัดขึ้นระดับ 8 กม./ลิตร ได้เช่นกัน การใช้ช่วงล่างหลังเป็นคอยล์สปริงแทนที่จะเป็นแหนบ ก็ได้ทั้งความนุ่มขึ้นแต่ไม่ถึงกับยวบยาบ และยังคงใช้แบบคานแข็งยึด 4 จุดอยู่ รองรับการลุยดีพอสมควร ในเรื่องอะไหล่ก็คงจะต้องรู้แหล่ง ทั้งเก่าและใหม่ ถึงจะใช้งานได้อย่างสบายใจ

NISSAN CEFIRO A32 3.0i
ตอนแรกก็ว่าจะแนะนำรุ่น 2.0i ที่หาตัวได้ง่าย มีราคาต่ำมาก แต่พอมาคิดอีกที เรื่องอัตราเร่งทำได้ไม่ดีนักจึงไม่ค่อยน่าใช้เท่าไหร่ ก็เลยมองผ่านไปดีกว่า สำหรับเซฟิโรนั้น เป็นชื่อที่ขายได้ของนิสสัน เปิดตัวด้วยตัวถัง A31 ขับเคลื่อนล้อหลัง ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมโซนาร์ตรวจจับสภาพผิวถนน แล้วนำไปปรับโช๊คอัพไฟฟ้า รถรุ่นนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และหายจ้อยไปอยู่ในเขมรก็เยอะเช่นกัน รุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ 2.0 ลิตร 12 วาล์ว แล้วจึงเปลี่ยนเป็น 24 วาล์วในรุ่นหลัง แต่พอขยับมาเป็น A32 นิสสันเปลี่ยนเป็นรถขับหน้าแทน ความทนทานแบบ A31 จึงด้อยลงไป ก็เลยทำให้ราคาของ A32 นี้ตกลงไปมาก ยิ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2 ลิตรที่ทางนิสสันเขาอนุรักษ์ไว้ไม่ยอมเปลี่ยน แม้ว่าญี่ปุ่นเขาจะเปลี่ยนไปเล่นรุ่น 2.5 ลิตรกันแล้ว แต่บ้านเราก็ไม่ขยับ จึงเป็นที่น่าเสียดาย ถ้าทางนิสสันเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรก็คงจะดีไม่น้อย ภายนอกของเครื่องยนต์รุ่น 3.0i นั้น ไม่ต่างจากรุ่น 2.0 ที่ใช้เครื่องยนต์ในตระกูล VQ เหมือนกัน กับเครื่องยนต์เบนซิน V6 DOHC ขับเคลื่อนด้วยโซ่ราวลิ้น ความจุ 2988 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้าที่ 6400 รอบ/นาที กับแรงบิด 26 กก.-ม. ที่ 4000 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ทำให้รถรุ่นนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม. โดยมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 9.8 วินาที ซึ่งดีกว่ารุ่น 2.0i เยอะ เครื่องยนต์ค่อนข้างทันสมัย นำอลูมิเนียมอัลลอยด์มาใช้ ซึ่งก็ได้รับรางวัลจาสกต่างประเทศค่อนข้างเยอะสำหรับเครื่องยนต์ตัวนี้ แต่ก็ต้องดูแลพวกปั๊มน้ำดี ๆ สักแสน กม. ก็ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว จากอัตราเร่งที่ดูดี ก็ทำให้กำลังไม่ลดลงไปมาก ถ้าอยากจะนำไปติดแก๊ส ความเร็วเดินทางระดับ 130-140 กม./ชม. ยังคงได้อยู่

MERCEDES BENZ SL500
อาจจะเกินตัวไปหน่อย แต่คงจะไม่เกินกำลังของใครบางคน จากการเลือกรถสปอร์ตจากค่ายดาวสามแฉกมาใช้ ความจริงแล้วรถสปอร์ตดัง ๆ มีตั้งหลายค่าย ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่าเบนซ์ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์รารี่หรือลัมโบกินี แต่รถเหล่านั้นเป็นแค่รถโชว์สำหรับขับช่วงวันหยุด หรือช่วงดึก ๆ ถนนโล่งมากกว่าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยข้อจำกัดของความสูงใต้ท้อง หรือความสะดวกสบาย จึงต้องเลือกรถสปอร์ตจากค่ายเมอร์เซเดส เบนซ์นี้มาเเทน สำหรับ SL500 นั้นหาตัวได้ไม่ยากนัก และยังมีพี่น้องร่วมรุ่นทั้ง SL280,SL320 รวมไปถึงพี่ใหญ่ SL600 แต่ความเหมาะสมในการใช้งานน่าจะเป็น SL320 กับ SL500 มากกว่า และที่เลือก SL500 ก็เพราะว่าสมรรถนะค่อนข้างสูง มีคันสวย ๆ จอดอยู่ตามเต็นท์รถหลาย ๆ แห่ง รถรุ่นนี้จะเลือกรุ่นเปิดประทุนมาขับกินลมชมวิวก็ได้ พละกำลังก็มีเพียงพอกับการใช้งานกับเครื่องยนต์ V8 ความจุ 4973 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้าที่ 5500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 46 กก.-ม. ที่ 4000 รอบ/นาที ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด รูปโฉมอาจจะคล้าย ๆ กับพี่น้องร่วมค่ายตัวอื่น ๆ แต่ความลู่ลมจะมีมากกว่า ด้วยเส้นสายที่มีความเป็นสปอร์ตกว่า ช่วงล่างนั่งสบาย ๆ กับกันสะเทือนหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท และกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ดิสก์เบรกหน้า/หลัง ด้วยความเป็นเบนซ์ที่สามารถใช้งานได้จริงทุก ๆ วัน ทำให้ค่าตัวของ SL500 ยังคงสูงอยู่ และเวลาขายต่อ ก็จะได้ราคาดีด้วยเช่นกัน

MERCEDES BENZ C220
เจอรุ่นใหญ่แล้วมาเจอรุ่นเล็กกันบ้าง ถ้าเป็นรถเบนซ์น่าใช้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว คงจะเป็นพวก อี-คลาส ตัวถัง w124 ที่น่าใช้กว่า จากราคาอะไหล่ไม่สูงนัก หาช่างซ่อมได้ง่าย ปัจจุบันอาจจะเก่าไปหน่อย W124 ตัวแรกเข้ามาตั้งแต่ปี ’87หมดไปประมาณปี’96 สำหรับคนที่หัดไต่เต้านั้น น่าจะหาเจ้าตัวเล็กอย่าง C220 มาใช้งานดีกว่า เพราะตัวนี้เป็นรถที่ค่อนข้างกระทัดรัด มีอัตราเร่งดีกว่า เพราะอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 9.4 วินาที ก็สามารถจัดอยู่ในประเภทรถซีดานสปอร์ตได้ ตัว C220 นั้น จัดอยู่ในรุ่นเล็กสุดของเบนซ์ยุคนั้น ถ้าปัจจุบันก็คงจะมีรุ่นเอ-คลาสเป็นรุ่นต่ำสุด รถรุ่นนี้ซื้อได้ในราคาไม่ถึงล้าน และเป็นรุ่นที่น่าสนกว่า C180 และ C200 และถึงแม้ว่าจะมีรุ่น C240 ออกมาในช่วงท้าย ๆ ก็ยังไม่ฮอตเท่าตัวนี้ ที่ได้ทั้งความหรูหราของห้องโดยสารด้วยเบาะหนังปรับด้วยไฟฟ้า พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ แอร์ดิจิตอลพร้อมถุงลมฝั่งคนขับ ซึ่งเป็นความหรูหราสมฐานะ ส่วนพละกำลังจะเป็นเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ วางตามยาว DOHC 16 วาล์ว ความจุ 2199 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม.ที่ 3750 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ออโต 4 สปีด ถ้าใช้งานกันจริง ๆ จะเห็นว่าเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรรุ่นนี้ มีอัตราบริโภคไม่มากกว่าตัว 1.8 และตัว 2.0 แต่ที่ดีกว่าก็ตรงที่มีอัตราเร่งเหนือกว่า อัตราบริโภคระดับ 10 กม./ลิตร นั้นเพียงพอแล้วสำหรับรถตัวถังขนาดนี้ ความเร็วสูงสุดสามารถทำได้ถึง 210 กม./ชม. แต่ถ้าใช้ความเร็วสูง ช่วงล่างอาจจะทำงานไม่ดีนักเท่าพวก BMW แต่คนที่ซื้อรถรุ่นนี้มาใช้ คงจะไม่ได้เน้นเรื่องการขับรถเร็วอยู่แล้ว

VOLVO 850 แวน
รถจากค่ายนี้จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ยุคก่อน ๆ เน้นความปลอดภัยมากไปหน่อย ก็เลยทำให้ตัวถังหนักมาก เครื่องยนต์ความจุน้อยๆ จึงแบกตัวถังไม่ไหว อัตราบริโภคก็เลยสูงตามไปด้วยนำมาใช้ช่วงน้ำมันแพงๆแบบนี้ท่าจะยาก แต่ถ้าเป็นปัจจุบัน วอลโว่จะเน้นความแรง ชนิดผิดหูผิดตา และยิ่งได้เครื่องยนต์ดีเซลมาใช้ด้วยแล้ว ทำให้รถวอลโว่ยุคนี้กลายเป็นรถแรงที่ประหยัด ไม่ใช่ประเภทรถถังตัวถังหนัก เร่งแซงเชื่องช้าอีกต่อไปแล้ว และวอลโว่ 850 ก็จะอยู่กึ่งกลางของยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ตัว 850 น่าสนใจก็เพราะว่าค่าตัวต่ำ ใกล้เคียงกับรถญี่ปุ่น แม้ว่าอัตราบริโภคจะสูงไปหน่อย ตัวถังก็ยังทันสมัย ยิ่งเป็นตัวแวนนั้นเป็นรถที่น่าใช้มาก ๆ เป็นรถแวนในฝันของหลาย ๆ คน ยิ่งเป็นตัว T5 ที่ทางวอลโว่แต่งเป็นรุ่นสปอร์ตด้วยแล้ว เวลาเห็นน้ำลายอาจจะหยดลงมาก็ได้ ถ้าเป็นตัวซีดานอาจจะต้องผจญศึกหนัก ทั้งคู่แข่งจากยุโรปอย่างเบนซ์และ BMW พอหันมาทางค่ายญี่ปุ่นด้วยแล้ว เจอทั้งคัมรี่ แอคคอร์ด และเซฟิโร่ ถ้าเลือกตัวแวนมาใช้ขับแล้วสบายใจหน่อย หาคู่แข่งยาก รถรุ่นนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็ทนทาน ไม่ค่อยจุกจิก แม้ว่าชุดเกียร์อาจจะมีราคาแพงไปหน่อย ด้วยตัวถังทรงเหลี่ยม ทัศนวิสัยทำได้ดี ภายในนั่งสบาย ๆ สำหรับ 5 คน ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท ยึดด้วยปีกนก A-ARM หลังเป็นแบบมัลติลิงค์ ทรงสามเหลี่ยมซ้อน ทำให้ทรงตัวดีมากบนทางตรง แต่เข้าโค้งอาจจะสู้ BMW ไม่ได้เพราะตัวถังที่ยาวกว่า การซับแรงสะเทือนทำได้ดี พวกลูกยางช่วงล่างก็ทนทานดี สมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ แถวเรียง DOHC ขับเคลื่อนด้วยสายพาน ความจุ 2435 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 6200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.8 กก.-ม.ที่ 3000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 11.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 194 กม./ชม. ความน่าใช้ของรถรุ่นนี้อยู่ที่ราคาต่ำพอ ๆ กับรถญี่ปุ่น แต่ไม่ได้หมายถึงค่าซ่อมนะครับ

TOYOTA CORONA 2.0 Gli ท้ายโด่ง
รถญี่ปุ่นเวลานำมาใช้งานค่อนข้างสบายใจในเรื่องของอะไหล่ที่หาง่ายและราคาไม่แพง โดยเฉพาะค่ายโตโยต้า หาอะไหล่เก่าตามเซียงกงได้ง่ายมาก ๆ เวลาเสียหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็ไม่ต้องคิดหนัก ตัวโคโรน่า ท้ายโด่งนั้น เป็นการปฏิวัติตัวถังจากเตี้ยแบนมาเป็นสูงอ้วน ตัวถังนี้จะเริ่มจากรุ่นท้ายโด่งไฟเต็มเป็นรุ่นแรก แล้วเปลี่ยนมาเป็นรุ่นไฟท้ายแยก ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยรุ่นเอ็กซิเออร์ มีให้เลือกทั้งรุ่น 1.6 และ 2.0 สำหรับรุ่น 1.6 จะต้องเค้นรอบจากเครื่องยนต์มากไปหน่อย จึงไม่น่าใช้เท่ารุ่น 2.0 รถรุ่นนี้จัดอยู่ในตัวถังระดับกลาง รูปโฉมอาจจะไม่สวยเท่ากับคู่แข่ง แต่ก็ไม่ขี้เหร่นัก และยังมีความเพรียวลมกว่ารุ่นก่อน เป็นขนาดตัวถังที่พอจะรองรับการเป็นรถครอบครัวได้ การเดินทางคล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมือง เป็นตัวถังไม่ใหญ่ไม่เล็ก เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 5 คน ทรงตัวได้ดีในการเดินทางระดับ 120-130 กม./ชม. จากการใช้ช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมโช๊คอัพแก๊สสองจังหวะ ใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS รถรุ่นนี้วางขุมกำลังรหัส 3S-FE ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่รุ่น ST171 ก่อนหน้านั้นจะเป็น 3S-F คาร์บูเรเตอร์ช่วงหลัง จึงเปลี่ยนเป็นหัวฉีด พร้อมเพิ่มตัว E ต่อท้ายในรุ่นหน้ายิ้ม เมื่อปรับปรุงลงตัวดีแล้ว จึงไม่มีปัญหาเมื่อนำมาใช้กับรุ่นท้ายโด่ง เป็นเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ที่ทนทานไม่จุกจิกรุ่นหนึ่ง ความจุ 1998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้าที่ 5800 รอบ/นาที แรงบิดสุงสุด 18.7 กก.-ม. ที่ 4600 รอบ/นาที มีทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด กับเกียร์ออโต 4 สปีดให้เลือก อัตราบริโภคไม่สูงนัก เดินทางไกลสามารถทำได้ระดับ 12-13 กม./ลิตร ถ้าคิดจะเลือกรถรุ่นนี้มาใช้ หายห่วงได้เรื่องอะไหล่

HONDA CIVIC 1.6 VTIE ตาโต
ที่เลือกรถรุ่นนี้มาให้ เพราะตลาดยังคงเล่นกันอยู่ เป็นรถที่น่าใช้อีกรุ่นหนึ่งแม้ว่าความเร็วสูงสุดจะไม่มากนัก แค่ 170 กม.เศษ ๆ แต่ก็เป็นรถที่มีคู่แฝดอย่างอีซูซุ เวอร์เทคด้วย ถ้าไม่ได้เป็นรถขายดีทางอีซูซุคงจะไม่นำไปขายกันหรอก ซีวิคตาโตรุ่นนี้ได้ชื่อมาจากชุดโคมไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ขนาดใหญ่ จึงทำให้ได้ชื่อตาโตมา ด้านหน้าอาจจะแตกต่างจากเวอร์เทค แต่ด้านหลังต่างกันแค่สีของๆไฟท้าย เมื่อถอดชุดไฟท้ายขาวแดงของเวอร์เทคมาใส่ก็จะได้ชุดไฟท้ายขาวแดงรับกับไฟติดฝากระโปรงท้ายสวยไปอีกแบบ ซีวิคบ้านเรานั้นเริ่มมีชื่อในรุ่นท้ายดำท้ายแดง ตัวถังทรงลิ่มเมื่อฮอนด้าหันไปจับกลุ่มผู้หญิง และขายดีขึ้นในรุ่นเตารีด โดยเฉพาะตัว 3 ประตูนั้น ดังระเบิดเถิดเทิง มีการนำหัวฉีดมาใช้ในรุ่นเตารีดนี้ และเป็นเครื่องยนต์ที่พอจะใช้ได้ ก็เลยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำหรับรุ่นตาโต นอกจากตัวถังที่ปรับเปลี่ยนใหม่หมด จนเป็นรถระดับคอมแพ็คขายดีที่สุดในในยุคนั้น นอกจากจะมีคู่แฝดอย่างอีซูซุ เวอร์เทคแล้ว ยังมีรุ่น คูเป้ และตัว 1.8 มาให้เลือกด้วย แต่พอเปลี่ยนเป็นตัวไดเมนชั่นกลับไม่หวือหวาเท่าไร ระบบกันสะเทือนค่อนข้างนิ่มเพราะไม่เน้นความเร็ว ใช้กันสะเทือนแบบดับเบิ้ลวิชโบนทั้ง 4 ล้อ ค่อนข้างจะมีปัญหากับพวกชอบโหลด เพราะทำได้ยากกว่าพวกปีกนก เครื่องยนต์เป็นแบบแถวเรียง 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTi ความจุ 1590 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 127 แรงม้าที่ 6600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.7 กก.-ม.ที่ 5500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เพราะชื่อเสียงเก่า ๆ ที่ฮอนด้าสร้างไว้ และความนิยมของรถรุ่นนี้ในยุคนั้นก็เลยทำให้ซีวิคตาโตเป็นรถซื้อง่ายขายคล่องอีกรุ่นหนึ่ง

BMW 318i E36 นกแก้ว
ค่าย BMW นั้น ค่อนข้างจะอาภัพเมื่อเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ไม่สามารถยืนหยัดในระดับเดียวกับเบนซ์ได้ จากการสร้างชื่อมาไม่เหมือนกันในยุคก่อน อย่างเบนซ์ของค่ายธนบุรีฯนั้นเป็นรถราคาแพง แต่ค่าบำรุงรักษาถูก ส่วน BMW ของค่ายยนตรกิจเป็นรถถูกค่าซ่อมแพงไม่ถึงหมื่นเอารถออกไม่ได้ ก็เลยทำให้ BMW กลายเป็นรถเก่าราคาถูกกว่าเบนซ์ แม้ว่าสมรรถนะของเครื่องยนต์กับช่วงล่างดีกว่าก็ตาม ในตัวถัง E36 นั้นจะมีโฉมแรกประมาณ 92-93 นั้น จะเป็นโฉมก่อนนกแก้ว มีปัญหาเรื่องแอร์โฟล ต่างจากรุ่นนกแก้ว หมดปัญหาในเรื่องนั้น ก็เลยทำให้ค่าตัว 2 รุ่นนี้แตกต่างกัน รุ่นนกแก้วหมดปัญหาในเรื่องนั้น ก็เลยทำให้ค่าตัว 2 รุ่นนี้แตกต่างกันพอสมควร ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกรุ่นนกแก้ว มาใช้ดีกว่าแม้ว่าค่าตัวจะสูงกว่าก็ตาม จะได้ไม่มีเรื่องจุกจิกกวนใจภายหลัง และก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของโลโก้ใบพัดสีฟ้า ที่ใช้กระจังหน้าฟันหนูมีผอมบ้างอ้วนบ้าง แล้วแต่รุ่น ใช้ไฟกลมแยกฝังอยู่ในโคมเหลี่ยม รถรุ่นนี้มีสันบนฝากระโปรงกว้างกว่ารุ่นก่อน แต่ยังคงเป็นตัวถัง E36 เช่นเดิม เครื่องยนต์รุ่นนี้แรงพอตัว กับเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ 2 วาล์ว ต่อสูบขับเคลื่อนล้อหลัง ความจุ 1796 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้าที่ 5500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม. ที่ 3900 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ค่อยจุกจิก ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. อัตราเร่งอาจจะด้อยกว่า 318i รุ่นหลัง แต่ก็ไม่มากนัก อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.3 วินาที อัตราบริโภคตอนเดินทางไกล แถว ๆ 9-10 กม./ลิตร อัตราเร่งแซงทำได้ดี ความเร็วระดับ 130-140 นั้น เป็นเรื่องธรรมดา ช่วงล่างของรถรุ่นนี้อาจจะแข็งไปสักนิด แต่การเข้าโค้งแม่นยำดีด้วยกันสะเทือนหลังแบบ Central Link แยกสปริงออกจากโช๊คอัพ ระยะเบรกไม่ยาวนัก และการทรงตัวในช่วงเบรกแรง ๆ ก็ไม่มีอาการเป๋ แต่เบาะนั่งอาจจะแข็งไปสักหน่อย ทำให้ปวดหลังเวลาเดินทางไกล นั่นคือข้อด้อยของรถรุ่นนี้