25 ส.ค. 2550

CAPTIVA ดีเซล ลุยป่าเมืองกาญจน์





















ตามคาด ไปกาญจนบุรี ออกจากหัวลำโพง 8 โมงนิดหน่อย หลังจากทำกิจกรรมกับมื้อเช้าสุดเท่ห์ที่ชานชลาหมายเลข 5 พร้อม ๆ กับชื่นชมการจัดโชว์แคปติวา ย่อย ๆ ที่หน้าชานชลาตามสไตล์เชพวีกันแล้วรถทั้งขบวนเป็นขบวนจัดพิเศษ จากกรุงเทพฯ-แคปติวา ประชาชที่มาถึงสถานีก็คงแปลกใจว่าสถานีแคปติวามันที่ไหนกัน

ขบวนรถไฟใช้รถตู้นอนชั้น 2 ปรับอากาศ เน่ืองจากมีจำนวนตู้มาก หากใช้รถโดยสารสปริ้นเตอร์ชั้นหนึ่งปรับอากาศแบบหรูที่ใช้วิ่งเชียงใหม่มันคงมีจำกัด ก็นั่งแบบมีชิ้นส่วนบันไดปีนขึ้นชั้นบนเกะกะ มีชิ้นส่วนอื่น ๆ เกะกะบ้าง แต่บริกรบนรถขบวนพิเศษนี้เป็นพริตตี้หน้าเอ็นดู กับพนักงานบริกรชายชุดดำเสิร์พอาหารตลอดทาง

ส่วนเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วนั้นก็คือผู้บริหารที่คุ้นเคยจากจีเอ็มนั่นเอง

ก็ไม่เป็นไรมันไม่ไกล ไปแค่สถานีท่ากิเลน อำเภอไทรโยค ซึ่งเปลี่ยนป้ายเป็น สถานีแคปติวาทั้งหมด ก็สวยเก๋เท่ห์น่าดูมาก

แคปติวา จอดรอเป็นตับที่หลังสถานี มีครบทุกสี สีแดงกับดำจะดูสวยงามมาก

ผมโชคดีร่วมกับเพื่อน ๆ ในรถเบอร์ 4 มีคุณจาลึก เอี่ยมเจริญ หัวหน้ากองบก. นิตยสารออฟโรด คุณพิชา บรรณาธิการอำนวยการนิตยสาร DRIVE TIME (สำหรับผู้ชื่นชอบขับรถท่องเที่ยว เป็นนิตยสาร น้องใหม่) ผม และนักข่าวจากกรังด์ปรีซ์อีกคนหนึ่ง รวม เป็น 4 คน ต่อแคปติวา ดีเซล 1 คัน สีดำมันวาวสวยงามมาก

ผู้สื่อข่าว และเจ้าของคอลัมน์ทดสอบรถรวม 120 คน ด้วยกัน

(หมายเหตุ...องอาจ วังซ้าย รายงาน ต้องขออภัยที่ล่าช้า เนื่องจากโดนละอองฝนในป่าเป็นหวัดนิดหน่อย)

*************************

สำหรับเมืองกาญจน์บางท่านอาจจะไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะผู้อยู่ในภูมิภาคอื่น ๆ ก็ลองอ่านตรงนี้สั้น ๆ

*************************
“กาญจนบุรี”

จังหวัดที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันตก 129 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีนักเดินทางทั้งคนไทย และชาวต่างประเทศนิยมไปท่องเที่ยว จังหวัดนี้มีเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ อาทิ เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ตั้งของสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะสะพานข้ามแม่น้ำแควอันเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กาญจนบุรียังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นป่าเขาลำเนาไพร ถ้ำหรือน้ำตก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า มีทั้งป่าโปร่งและป่าดงดิบ มีแม่น้ำสำคัญ 2 สายคือ แม่น้ำแควใหญ่และแควน้อย ซึ่งไหลมารวมกันเป็น “แม่น้ำแม่กลอง” ที่บริเวณอำเภอเมืองกาญจนบุรี

*******************************
สำหรับรายละเอียดทางเทคนิคเป็นดังนี้ครับ
*******************************

เชฟโรเลต แคปติวา
สมดุลของการขับขี่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต

รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองไทย เชฟโรเลต แคปติวา ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเผยโฉมครั้งแรกในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยความ ลงตัวของการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองได้ทั้งลักษณะการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เพื่อการท่องเที่ยว หรือใช้เป็นรถครอบครัว ซึ่งแคปติวามีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละรูปแบบการใช้ชีวิต โดยมีให้เลือกใช้งานทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์เจอร์ แบบแปรผัน ในระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และระบบขับเคลี่อน 4 ล้อ แบบ AWD (All Wheel Drive)

เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงสามารถตอบสนองการใช้งานที่สะดวกสบายเหมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังแฝงการขับขี่แบบสปอร์ต คล่องตัว ทำให้สามารถใช้งานได้ดีทั้งในเมือง การวิ่งทางไกล หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่สมบุกสมบันมากขึ้น ซึ่งแคปติวาได้ผ่านการทดสอบใช้งานบนเส้นทางในสภาพต่าง ๆ ทั่วโลกมาแล้วกว่า 5 ล้านกิโลเมตร


รูปทรงหรูหรา สปอร์ตสไตล์รถยุโรป

จากการร่วมกันออกแบบโดยศูนย์ออกแบบของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส 11 แห่งทั่วโลก คัดเลือกจากต้นแบบมากถึง 450 ตัวอย่าง ทำให้แคปติวามีความลงตัวในด้านของรูปลักษณ์ ที่มีทั้งความหรูหรา ทรงพลัง และสปอร์ต เหมือนรถ SUV ระดับพรีเมียมของยุโรป โดดเด่นด้วยกระจังหน้าและสัญลักษณ์โบว์ไทของเชฟโรเลตขนาดใหญ่ ที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายเพื่อทำให้รถดูทันสมัยตลอดเวลา โคมไฟหน้าขนาดใหญ่พร้อมหลอดไฟกลมคู่ เสริมความดุดันด้วยไฟตัดหมอกทรงกลม ชายล่างกันชนยังเสริมแคร็งกันกระแทกที่ทำให้รถดูสมบุกสมบันมากยิ่งขึ้น

ด้านข้างของรถสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงความกว้างของห้องโดยสาร จากช่วงความยาวฐานล้อจากดุมล้อหน้าถึงดุมล้อหลัง ที่มีความยาวถึง 2,707 มิลลิเมตร ซุ้มล้อขนาดใหญ่พร้อมล้ออัลลอยแบบ Multi-Spoke ที่ออกแบบมาให้เสริมความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนหลังคาโค้งรับกับส่วนหน้าของตัวรถ ทำให้มีความโค้งมนกลมกลืนตลอดตัวถัง และยังช่วยให้ลดแรงเสียดทานอากาศมากขึ้น

ส่วนด้านท้ายรถถูกออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเปิดบานกระจกบังลมหลังแยกจากประตูด้านท้ายเพื่อความสะดวกในการหยิบหรือใส่ของชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตูท้ายรถทั้งบาน พร้อมเสริมก้านปัดน้ำฝนด้านหลังเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นยามขับขี่ การออกแบบยังโดดเด่นด้วยกรอบไฟท้ายที่ซ่อนไฟถอยหลังทรงกลมสีขาดตัดกับโคมสีแดง ขณะที่ชายล่างกันชนเสริมแคร็งกันกระแทกสีอลูมิเนียมให้ดูดุดันพร้อมกับท่อไอเสียแบบท่อคู่แยก ซ้าย-ขวา ที่เน้นให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น


ประกอบภายในอย่างประณีต หนักแน่น เคร่งขรึม

นอกจากความกว้างขวางภายในห้องโดยสารของแคปติวาแล้ว ทุกส่วนได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตกลมกลืน และเน้นโทนสีเทาเข้มที่ดูเคร่งขรึม ทั้งในส่วนของแผงประตูด้านใน คอนโซลหน้า และเบาะหนังคุณภาพสูงสไตล์รถยุโรป โดยใช้แถบสีอลูมิเนียมในการตกแต่งส่วนต่าง ๆ อย่างทันสมัยลงตัวทั้งในส่วนของก้านจับเปิดประตู แผงคอนโซลกลาง และพวงมาลัย พร้อมติดตั้งเครื่องเสียงแบบ Built-in ที่มีคุณภาพสูง รองรับการเล่น วิทยุ CD และ MP3 ได้ 6 แผ่นใส่จากด้านหน้า พร้อมติดตั้งปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียงบนพวงมาลัย Multi-function เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการขับขี่

ด้านบนของแผงคอนโซลกลางยังมีจอแสดงผลข้อมูลของการขับขี่ DIC (Driver Information Center) ที่จะแสดงข้อมูลของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่รถสามารถวิ่งต่อไปได้เมื่อคำนวณจากความเร็วและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือในถัง พร้อมบอกอุณหภูมิภายนอกรถ ข้อมูลการทำงานของระบบปรับอากาศ และเข็มทิศ ที่เรือนไมล์ออกแบบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดความเร็ว เป็นทรงกลมล้อมกรอบอลูมิเนียมในสไตล์ของเชฟโรเลต พร้อมสัญญาณไฟเตือนต่าง ๆ ที่ชัดเจนสะดุดตา ช่องเก็บของที่คอนโซลฝั่งคนนั่งด้านหน้ายังมีช่องเก็บความเย็นสำหรับเก็บเครื่องดื่มให้เย็นฉ่ำตลอดการเดินทาง จากการออกแบบช่องเก็บของให้มีช่องรับลมเย็นจากท่อส่งแอร์ทำให้สามารถเก็บความเย็นให้เครื่องดื่มได้

ที่แท่นเกียร์ออกแบบให้ทันสมัยด้วยสีอลูมิเนียมเช่นกัน พร้อมเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทิปทรอนิค (Tiptronic) ที่เข้ามาเพิ่มทางเลือกในการขับขี่ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นเสมือนขับรถเกียร์ธรรมดา

แม้ว่าภายในของแคปติวาถูกออกแบบให้กว้างขวางและมีถึง 7 ที่นั่ง แต่สามารถเดินทางได้อย่างสบายจากการติดตั้งพัดลมแอร์ที่ข้างเบาะนั่งแถวที่ 3 ทำให้ได้รับความเย็นทั่วทั้งห้องโดยสาร และถ้าต้องการพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการพับเบาะนั่งแถวที่ 3 ให้ราบลงไปเหมือนเป็นพื้นรถ ก็จะทำให้มีปริมาตรในการขนสัมภาระที่ 465 ลิตร และถ้าหากต้องการเพิ่มเนื้อที่ให้มากขึ้นอีก ก็ยังสามารถพับเบาะแถวที่ 2 ลง ซึ่งจะทำให้มีเนื้อที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากถึง 930 ลิตร


ตอบสนองทุกความสะดวกเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

เชฟโรเลต แคปติวา ไม่เพียงแต่ได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัวทุกสัดส่วน แต่ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับผู้โดยสารและเสริมความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบวัดปริมาณน้ำฝนด้วย Rain Sensor ที่ช่วยปรับความเร็วในการปัดน้ำฝนตามปริมาณเม็ดฝนที่กระทบบนกระจกบังลมหน้า

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ที่จะทำงานทันทีเมื่อมีความเข้มของแสงอาทิตย์น้อยลง ไม่ว่าจะเป็น การขับรถลอดอุโมงค์ ขับขี่ในอาคารที่จอดรถ หรือยามค่ำคืน และไฟจะดับลงโดยอัตโนมัติเช่นกันเมื่อมีความเข้มของแสงมากขึ้น และขณะขับขี่ในเวลากลางคืนเมื่อท่านดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก เพียงสักครู่ไฟหน้าก็จะปิดโดยอัตโนมัติเช่นกัน และเมื่อกดรีโมทปลดล็อกประตูเพื่อจะขับรถต่อไปไฟหน้าก็จะติดให้โดยอัตโนมัติอีกครั้ง



นอกจากนี้ยังมีระบบขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ (Cruise Control) ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ทางไกล หรือขับขี่ในพื้นที่ที่มีการจำกัดความเร็ว พร้อมยังมีระบบตัดไฟเลี้ยวอัตโนมัติที่ช่วยป้องกันการลืมเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ขณะขับขี่ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในขณะเปลี่ยนเลน ขณะขับแซงรถคันหน้า โดยการสัมผัสโยกก้านไฟเลี้ยวเพียงเบา ๆ ไฟเลี้ยวจะกระพริบเพียงแค่ 3 จังหวะและดับไปเองโดยอัตโนมัติ แต่หากต้องการเปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ก็ใช้การโยกก้านไฟเลี้ยวแบบปกติทั่วไป


จุดเด่นของ แคปติวา ที่เหนือกว่ารถ SUV รุ่นอื่นใด คือ มีระบบ Self-Levelizer ที่ช่วยปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกขึ้นเป็นระนาบเดียวกันกับด้านหน้าด้วยกลไกอัตโนมัติ เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระหนักที่ด้านท้ายรถ ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ เพราะระบบ Self-Levelizer จะปรับสมดุลให้ช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังอยู่ในแนวขนานกับพื้นถนนเท่ากัน ไม่ทำให้ด้านหน้ารถเชิดขึ้น สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย มีทัศวิสัยที่ดีตลอดการขับขี่


ให้สมรรถนะสูงทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล

จากการออกแบบให้แคปติวา สามารถตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้เป็นรถครอบครัว หรือขับขี่ท่องเที่ยวสมบุกสมบันมากขึ้น ทำให้แคปติวามีสมรรถนะการขับขี่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สมดุลกับความต้องการใช้งาน

ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร ฝาสูบเดี่ยว SOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศ เทอร์โบ ชาร์เจอร์ แบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำ 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด Tiptronic ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้ขับขึ่สามารถใช้งานได้สะดวกสบายเมื่อขับในระบบอัตโนมัติ และหากต้องการความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นก็สามารถใช้เกียร์ Tiptronic เพื่อให้การ ขับขี่ด้วยเกียร์อัตโนมัติเสมือนเกียร์ธรรมดา

ขณะเดียวกันระบบเกียร์ของแคปติวา ยังมีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล ไม่มีอาการกระตุก และตอบสนอง ได้รวดเร็วแม้จะเป็นการขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ด้วยการตอบสนองจังหวะ Kick-down ที่รวดเร็ว และให้ระยะเร่งรอบเครื่องสูงนานมากพอที่จะให้ความปลอดภัยขณะเร่งแซง หรือต้องการทำความเร็ว

นอกจากการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ดีเยี่ยมแล้ว แคปติวายังคงเอกลักษณ์โดดเด่นของเชฟโรเลต ด้วยระบบช่วงล่างที่มีความนุ่มนวล เกาะถนนเป็นเยี่ยมในระดับรถพรีเมียม ของยุโรป จากการติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ McPherson Struts และด้านหน้าแบบ 4-Link

ความประหยัดและปลอดภัยด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand

รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทั่วไป หรือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full-time นั้นมักจะสร้างปัญหาในเรื่องอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand ในเชฟโรเลต แคปติวา จะช่วยให้มีความประหยัด เนื่องจากในสภาพการขับขี่บนถนนปกติ ระบบขับเคลื่อนจะถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้าแบบ 100% ในอัตราส่วน 100:0 เหมือนกับรถขับเคลื่อนล้อหน้าทั่วไป ซึ่งการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อสภาพของถนนเปลี่ยนไป เช่น สภาพถนนเปียกลื่น เมื่อระบบจับได้ว่าล้อขับเคลื่อนคู่หน้ามีอาการลื่นไถล หรือหมุนฟรี ระบบจะสั่งจับเฟืองท้ายล็อกเพลาหลังเพื่อถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หลังเพื่อดันให้ล้อหน้าหลุดจากอาการลื่นไถล หรือล้อหมุนฟรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และควบคุมรถได้อย่างมั่นคง โดยระบบจะถ่ายทอดกำลังแรงบิดไปยังล้อหน้าและล้อหลังในอัตราส่วนต่าง ๆ ตามสภาพของถนนว่ามีความลื่นมากแค่ไหน จากการอ่านค่าของตัวเซ็นเซอร์ที่จับความเร็วของล้อที่หมุนฟรี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในอัตราส่วน 50:50 อัตราส่วน 60:40 หรือ 70:30 นั่นจึงทำให้ เชฟโรเลต แคปติวา มีความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า และมีความคล่องตัว ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ตลอดเวลา


เสริมสมดุลให้กับชีวิตการขับขี่่ ความลงตัวที่ตอบรับทุกด้านของชีวิต

ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ของแคปติวา ยังเพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบให้กับการใช้งานรถ SUV ที่เหนือชั้นกว่ารถยนต์ในระดับราคาเดียวกันด้วย “เทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติ” (Self Balancing Integration Technology) ที่ช่วยให้ทุกชีวิตการขับขี่ดำเนินไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด

ESP (Electronic Stability Program) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว คือ ระบบที่ช่วยควบคุม ทิศทางการขับขี่ ป้องกันการเกิดอาการ Oversteering หรือ Understeering จากการประเมินการเคลื่อนที่ของรถกับองศาการหมุนของพวงมาลัย ถ้าเกิดการเสียสมดุล ระบบ ESP จะเพิ่มแรงเบรก และลดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ตามทิศทางและองศาการหมุนของพวงมาลัยที่ผู้ขับขี่บังคับ

HDC (Hill Descent Control System) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบนี้ ด้วยการกดปุ่มควบคุม HDC บนคอนโซลกลาง ในจัึงหวะที่ลงทางชัน ซึ่งระบบจะช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ และเบรก ให้สัมพันธ์กันโดยอัตโนมัติ เพื่อจำกัดความเร็วของรถ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบแป้นเบรก หรือเลียเบรกขณะขับลงเขา หรือเนินชัน

ARP (Active Rollover Protection) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ระบบนี้จะตรวจจับแรงเหวี่ยงจากการหักหลบ หรือการเข้าโค้ง พร้อมกระจายแรงเบรกไปที่ล้อทั้ง 4 ด้วยน้ำหนักต่าง ๆ กันอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ และทำให้สามารถควบคุมรถให้กับมาสู่สภาวะปกติได้โดยง่าย (ในสภาวะการขับขี่และความเร็วที่เหมาะสม)

นอกเหนือจากความปลอดภัยจากระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่งสไตล์รถยุโรป ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ On-Demand และเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดแล้ว เชฟโรเลต แคปติวา ยังมีค่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยถึงระดับ 4 ดาว จากการทดสอบการชนของ Euro NCAP (www.euroncap.com) ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยขณะขับขี่ ขณะเดียวกัน เชฟโรเลตยังมอบความมั่นใจในคุณภาพของแคปติวาสูงสุด ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมง จากบริการ Roadside Assistance และศูนย์บริการเชฟโรเลต 103 แห่งทั่วประเทศ

หากท่านได้ลองขับ เชฟโรเลต แคปติวา จะทำให้ท่านรู้สึกได้กับสมดุลของการขับขี่ ความลงตัวของ แคปติวา ที่จะให้สมดุลกับทุกรูปแบบการใช้ชีวิต


ข้อมูลทางเทคนิค เชฟโรเลต แคปติวา ดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร

มิติรถ มม.
ความยาว 4639
ความกว้าง 1849
ความสูง 1726
ฐานล้อ 2707

เครื่องยนต์
แบบ 2.0 ลิตร SOHC 16 วาล์ว
ปริมาตรกระบอกสูบ 1991 ซีซี
แรงม้าสูงสุด 150@4000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 320@2000 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมระบบ Tiptronic
ขนาดล้อ / ยาง รุ่น AWD ขนาดล้อ 17x7” ขนาดยาง 235/60 R17
รุ่น FWD ขนาดล้อ 16x6.5” ขนาดยาง 215/70 R16

*****************************
เนื้อข่าวจากจีเอ็มแบบเต็ม ๆ ในทริปนี้เป็นดังนี้
*****************************
เชฟโรเลต นำ 120 สื่อมวลชนบุกกาญจนบุรี
ทดสอบความแรง “แคปติวา ดีเซล 2.0 ลิตร”

กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต นำทัพสื่อมวลชน 120 คน ขึ้นม้าเหล็กบุกเมืองกาญจน์ ทดสอบสมรรถนะความแรง ความแกร่ง ของ เชฟโรเลต แคปติวา พร้อมสัมผัสกับเทคโนโลยี ปรับสมดุลอัตโนมัติ ที่ทำให้ แคปติวา เป็นรถอเนกประสงค์ เอสยูวี ที่เหนือชั้นกว่า

บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉีกรูปแบบในการจัดทดสอบสมรรถนะรถยนต์ โดยเปลี่ยนบรรยากาศจากการนำคณะสื่อมวลชนจำนวน 120 คน โดยสารรถไฟจากสถานีหัวลำโพง จากกรุงเทพฯ มุ่งสู่สถานีท่ากิเลน ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปร่วมทดสอบสมรรถนะ และเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติในรถอเนกประสงค์ SUV เชฟเรลต แคปติวา รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบแปรผัน 2.0 ลิตร 150 แรงม้า โดยมีระยะทางการทดสอบทั้งหมด 277.1 กิโลเมตร

สำหรับเส้นทางในการทดสอบรถยนต์แคปติวาในครั้งนี้ มีการขับขี่บนเส้นหลากหลายรูปแบบทั้งทางเรียบ โค้งต่อเนื่อง ทางฝุ่น กรวด ลูกรัง โคลน เนินขึ้น-ลงทางชันที่มีความลื่น ทั้งนี้เพื่อให้ได้สัมผัสกับการใช้งานในเส้นทางทุก ๆ รูปแบบ และรับรู้ถึงสมรรถนะ ความแรง ความแข็งแกร่งทนทาน การทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD (All Wheel Drive) แบบ Active on-Demand และเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติ

เส้นทางในช่วงแรกเป็นถนนทางเรียบ โดยวิ่งจากอำเภอไทรโยค ขึ้นไปที่อำเภอทองผาภูมิ เพื่อให้ได้พบกับพละกำลังของเครื่องยนต์ ความเกาะถนนอันยอดเยี่ยม และระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทิปทรอนิก (Tiptronic) ในเชฟโรเลต แคปติวา จากการขับขี่บนเส้นทางกลางหุบเขาที่เลาะไปตามลำน้ำแคว ที่จะมีทั้งทางตรงเพื่อทดสอบในเรื่องอัตราเร่ง ทางโค้งต่อเนื่องและทางโค้งขึ้น-ลงเขา ที่จะทำให้เห็นถึงความเกาะถนนของระบบช่วงล่าง และยังสามารถทดลองการตอบสนองของระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทิปทรอนิก

ในช่วงถัดมา เป็นการทดสอบขับขี่ในเส้นทางฝุ่นที่สมบุกสมบันมากขึ้นของเส้นทางในอุทยานแห่งชาติเกริงกะเวีย มุ่งสู่เนินสวรรค์ ก่อนขับลงกลับมาสู่ทางเรียบอีกครั้ง ในช่วงเส้นทางนี้สื่อมวลชนจะได้ทดสอบทั้งการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แรงบิดมหาศาล 320 นิวเมตร ในรอบเครื่องยนต์ต่ำ 2,000 รอบต่อนาที ที่ช่วยให้ขับเคลื่อนรถปีนขึ้นทางชันได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเค้นหรือย้ำคันเร่ง ขณะเดียวกันในเส้นทางฝุ่นลูกรังที่มีความลื่น สื่อมวลชนจะได้พบกับการทำงานของเทคโนโลยีปรับสมดุลอัตโนมัติอย่าง ESP (Electronic Stability Program) และ Traction Control System ที่จะช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ป้องกันการลื่นไถล และเมื่อถึงทางลงลาดชัน ที่เป็นเส้นทางสมบุกสมบันยังได้ทดลองระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชันอัตโนมัติ HDC (Hill Descent Control) จากการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และระบบเบรก ที่จะหน่วงกำลังของเครื่องยนต์เพื่อควบคุมความเร็ว และเสริมแรงเบรกให้มากขึ้น โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรก หรือคันเร่งขณะที่รถกำลังวิ่งลงทางลาดชัน ซึ่งช่วยให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะรถจะถูกควบคุมให้ใช้ความเร็วต่ำค่อย ๆ ไต่ลงทางชัน แม้จะมีความลาดชันมากอย่าง ดอยสุเทพ หรือ ดอยอ่างขาง

หลังจากการทดสอบรถยนต์อเนกประสงค์ SUV เชฟโรเลต แคปติวา เสร็จสิ้น เชฟโรเลต ได้นำสื่อมวลชน
ทั้ง 120 คน ล่องเรือหางยาวในลำน้ำแควน้อย เพื่อเดินทางเข้าสู่ที่พัก ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินทางแบบหลากหลายครบรสชาติที่เชฟโรเลตได้จัดเตรียมเพื่อให้สื่อมวลชนได้เก็บบรรยากาศการนั่งรถไฟที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้บริการบ่อยครั้ง การขับรถยนต์สมรรถนะสูงเข้าสู่เส้นทางในป่าเขา และลงเรือพร้อมชมทิวทัศน์ธรรมชาติที่สมบูรณ์ของสองฝั่งแม่น้ำแควน้อย สายแม่น้ำที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกาญจนบุรี

**********************************
ผู้ผลิตรถคันนี้หลายท่านยังไม่ทราบรายละเอียดก็ต้องอ่านตรงนี้ก่อน

**********************************
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

เชฟโรเลต แคปติวา ที่ทุกท่านกำลังจะได้สัมผัสในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมคุณภาพที่ผ่านมาตรฐานการผลิตระดับโลก ของศูนย์การผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย จังหวัดระยอง ที่ไม่เพียงผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่ได้รับความมั่นใจในด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากทั่วโลก

ศูนย์การผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ได้ผ่านการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกมาแล้วมากมายหลายรุ่น ทั้งภายใต้แบรนด์ของเชฟโรเลต และแบรนด์อื่นๆ ที่จำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกทวีป โดยเน้นดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในภูมิภาคอาเซียนภายใต้แบรนด์ เชฟโรเลต ขณะเดียวกัน วอกซ์ฮอลล์ และ โอเปิล ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในฝั่งยุโรป นอกจากนั้น พอนทิแอค แซทเทิร์น ซาบ ฮัมเมอร์ จีเอ็มซี คาดิลแลค และบิวอิค ก็ทำตลาดเป็นอย่างดีในสหรัฐอเมริกา พร้อมวางจำหน่ายอยู่ทั่วโลกแล้วเช่นกัน

สำหรับในประเทศไทย เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้เข้ามาบุกเบิกสร้างรากฐานตั้งแต่ปี 2536 ด้วยเล็งเห็นศักยภาพการผลิตและฝีมือของคนไทย จีเอ็มจึงได้เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตประจำภูมิภาคนี้

เนื่องด้วยจีเอ็มมองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่สำคัญทั้งในด้านการจำหน่าย และการผลิตเพื่อส่งออก จึงได้มีการลงทุนก่อสร้างศูนย์การผลิตรถยนต์ ด้วยเงินทุนกว่า 30,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 440 ไร่ เมื่อปลายปี 2539 ด้วยมาตรฐานการผลิตอันเป็นที่ยอมรับจากตลาดทั่วโลก ทางจีเอ็มจึงได้พัฒนาศักยภาพการผลิต โดยเพิ่มเม็ดเงินลงทุนอีกกว่า 2,000 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานสีแห่งใหม่เมื่อปี 2549 ซึ่งเพิ่มความรวดเร็วในการผลิตรถยนต์เป็นสองเท่า เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันท่วงที

ศูนย์การผลิตฯ ของจีเอ็ม ไม่เพียงเพิ่มศักยภาพในการผลิต แต่ยังรักษามาตรฐานการผลิตรถยนต์ด้วยคุณภาพสูงสุดดังปรัชญาการทำงานของจีเอ็ม คือ “ไม่รับ ไม่สร้าง ไม่ส่งมอบ” ซึ่งหมายความว่า จีเอ็มจะไม่ผลิตรถยนต์ที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานออกไปจากศูนย์การผลิตอย่างเด็ดขาด นอกจากมาตรฐานการผลิตรถยนต์ที่ต้องให้ได้รถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุดแล้ว ทุกขั้นตอนของการผลิตยังต้องดำเนินควบคู่ไปกับ “ความปลอดภัย” ที่จีเอ็มให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยของเครื่องจักร ความปลอดภัยของระบบการผลิต ความปลอดภัยต่อชีวิตและสวัสดิภาพของพนักงาน ความปลอดภัยของรถยนต์ที่จำหน่ายออกไปสู่มือลูกค้า รวมถึงสุขอนามัยต่าง ๆ ภายในศูนย์การผลิตฯ ซึ่งรางวัลนายกรัฐมนตรี อุตสาหกรรมดีเด่น 3 รางวัล ในประเภทการจัดการด้านความปลอดภัย ในปี 2544 ประเภทการควบคุมคุณภาพ ในปี 2547 และประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในปี 2548 รวมทั้งได้การรับรองจากรัฐบาลไทย ทั้งในด้านความปลอดภัย สุขอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานติดต่อกันเป็นเวลา 7 ปี สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนถึงความตั้งใจในการผลิตรถยนต์ให้มีคุณภาพสูงสุด ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ของศูนย์ผลิตรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย จังหวัดระยอง

***********************************
ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาลงให้ครบเป็นเนื้อข่าวโดยเฉพาะแบบเต็ม ๆ สำหรับท่านที่ต้องการรายละเอียดเพื่อรายงานต่อไป

ความรู้สึกมัน ๆ ก็ต้องตามอ่านมาดลุยโดยเฉพาะแยกต่างหาก โดยจะไม่มีข้อมูบทางเทคนิคละเอียดแบบนี้ ท่านอาจต้องย้อนกับมาเช็คบ้างเพื่อความเข้าใจ เนื่องจากมีรายละเอียดทางระบบต่าง ๆ ที่ไม่มีในรถทั่ว ๆ ไปมากพอสมควร